บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI หวังมาร์เก็ตแคปแตะ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2568 โดยเร่งดันบริษัทลูกเข้าตลาดอย่างน้อย 4 บริษัท และเชื่อมโยงอีโคซิสเต็ม สร้างบริการที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจร มั่นใจปีนี้ผลประกอบการ All Time High ทุกด้าน
พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Capitalization) ของทั้งกลุ่มแตะระดับ 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 40,000 ล้านบาท
โดย ORI มีแผนนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างน้อยปีละ 1 บริษัท หลังจากก่อนหน้านี้ได้ส่ง บมจ.บริทาเนีย (BRI) เข้าตลาดหุ้นไปแล้ว
โดยบริษัทลูกที่กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อเสนอขายหุ้น IPO มีดังนี้
- บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เช่น บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator)
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 490 ล้านบาท และมีเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 750 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 มีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
- บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ประกอบธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น โรงแรม ออฟฟิศ ค้าปลีก
ที่ผ่านมา วัน ออริจิ้น ได้ทยอยปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก แต่จะมีธุรกิจอื่นๆ ภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด ธุรกิจร้านอาหาร
โดยภายในช่วง 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของวัน ออริจิ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
- บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ครบวงจร
ทั้งนี้ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น เปิดตัวเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3/64 และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ณ สิ้นปี 2564 มีที่ดินเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่เช่าทางอุตสาหกรรมกว่า 155,000 ตร.ม. จากแผนเดิมประมาณ 40,000 ตร.ม. และคาดว่าจะเปิดดำเนินการโครงการแรกภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 ภายในไตรมาส 2/65 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ภายในปีนี้
นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายโปรเจกต์ภายใต้แผนงาน ทั้งผ่านการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1 ล้าน ตร.ม. โดยบริษัทคาดว่าภายในปี 2568 จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บล.กสิกรไทย
- บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมต่างๆ
นอกจากนี้ ORI ยังเตรียมแผนการดำเนินงานใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด Origin Multiverse ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe) จากเดิมที่ ORI เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะขยายตัวเองเข้าสู่จักรวาลใหม่ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1.1 กลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential for Sales)
1.2 กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business)
1.3 กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business)
1.4 กลุ่มจักรวาลเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends Business)
ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจยังคงประกอบด้วยธุรกิจย่อยๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เช่น โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร กัญชง และยังอาจมีจักรวาลย่อยๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
- สร้างการเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline) ด้วยการผลักดันบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดังรายละเอียดข้างต้น ซึ่งคาดว่าภายในปี 2568 ORI และทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะมีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 100,000 ล้านบาท
- เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) เชื่อมโยงทุกกลุ่มธุรกิจที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happiness ที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
“ORI ให้ความสนใจในเรื่อง Digital Asset เพราะเชื่อว่าเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคต และสามารถเชื่อมโยงอีโคซิสเต็มได้ โดยบริษัทมีแผนจะออก ICO NFT และ Utility Token และมีการเตรียมการเรื่อง Metaverse ด้วย โดยเร็วสุดน่าจะได้เห็น Real Estate-backed ICO ในไตรมาส 3/65”
สำหรับปี 2565 บริษัทตั้งเป้าสร้างสถิติ All Time High ในทุกด้าน โดยมีเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 137% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,600 ล้านบาท
โดยในฝั่งคอนโดมิเนียมจะเติบโตไปในทุกเซกเมนต์ มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี ทั้งนี้จะมีโครงการใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ภายใต้ชื่อ ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’ (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะทยอยเปิดตัวโครงการอีกครั้งเร็วๆ นี้
ขณะเดียวกันตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวม 17,500 ล้านบาท หลังจากปี 2564 ทำผลงานทุกด้านเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม สร้าง New High ยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943 ล้านบาท และเติบโตจากปี 2563 กว่า 43% อีกทั้งมีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 กว่า 20% ส่งผลให้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี 2564 ในอัตรา 0.42 บาทต่อหุ้น
เขากล่าวเพิ่มว่า หลังจากกลยุทธ์ Origin Multiverse แล้วเสร็จในปี 2568 สัดส่วนรายได้จะมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยรายได้จาก Non-Residential จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ขณะที่สัดส่วนจาก Residential จะอยู่ที่ 70% และหลังจากนั้น ORI จะพัฒนาธุรกิจต่างๆ ต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้สัดส่วนรายได้จาก Non-Residential เพิ่มเป็น 50%
“เราเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ ผู้คิดค้นและเจ้าของนวัตกรรมจะเป็นผู้กำหนดความต้องการผู้บริโภค ซึ่ง ORI เองก็มองตัวเองว่าอยู่ในฝั่งของผู้คิดค้นและเจ้าของนวัตกรรม ดังจะเห็นได้จากสินค้าและบริการของ ORI ที่นำเทรนด์ และเน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เราประเมินไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต” พีระพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
- ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) รวมมูลค่าโครงการกว่า 143,800 ล้านบาท
- ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ค้าปลีก
- ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัท (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่ BRI มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP