หลังทั่วโลกรับรู้ข่าวดีเรื่องการค้นพบวัคซีนต้านโควิด-19 ตลาดทุนทั่วโลกก็ตอบรับเชิงบวก ซึ่งสะท้อนสู่ดัชนีหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จนปัจจุบัน THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมสูตรการจัดพอร์ตลงทุนตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงกลางปีหน้า เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อการนำวัคซีนมาใช้ในประเทศไทยตามแผนที่รัฐบาลประกาศไว้ และประเมินว่าเมื่อประเทศไทยได้รับวัคซีนแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นและเข้าสู่ภาวะปกติได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าต้องใช้เวลาสักระยะ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศ
“เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างมาก ซึ่งก็เหมือนกับประเทศท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วโลก การฟื้นตัวจึงเห็นได้ช้า อย่างเร็วสุดก็อาจจะได้เห็นการฟื้นตัวในครึ่งแรกปี 2564”
สำหรับภาพรวมการลงทุน ปัจจุบันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับอิทธิพลจากข่าวดีเรื่องวัคซีน ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา และกระแสนี้จะผลักดันตลาดหุ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า จึงยังเป็นเทรนด์ของการเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นอยู่ทั่วโลก
กระจายการลงทุนสู่ตลาดหุ้นเอเชีย
ทั้งนี้แนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 50% และหุ้นต่างประเทศ 50% โดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่น่าเข้าลงทุนคือตลาดหุ้นจีน เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่น่าจะมีอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เร็วและเป็นเป้าหมายเข้าลงทุน โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มเทคโนโลยี, อีคอมเมิร์ซ, เฮลท์แคร์ และพลังงานทดแทน ซึ่งล้วนแต่เป็นเทรนด์ในอนาคต
ส่วนการลงทุนในหุ้นไทย 50% นั้น กลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มวัฏจักร เพื่อให้สอดรับกับอานิสงส์เรื่องการฟื้นตัวของกำไรในปี 2564 ประกอบด้วย
- กลุ่มแบงก์ ประเมินว่าหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ การขยายตัวของสินเชื่อน่าจะดีขึ้นและความกังวลเรื่อง NPL จะลดลง นอกจากนี้กลุ่มแบงก์ยังเป็นหุ้นกลุ่มเป้าหมายของ Fund Flow ต่างประเทศด้วย
- กลุ่มท่องเที่ยว ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงเยอะมาก เนื่องจากรับผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวชะงักต่อเนื่องหลายเดือน อย่างไรก็ตาม หากสามารถเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวได้เป็นปกติแล้ว กลุ่มนี้จะฟื้นตัวได้ดี จึงแนะนำให้ทยอยสะสม
- กลุ่มขนส่งมวลชน จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอันดับต้นๆ
- กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งจะเติบโตสอดคล้องการฟื้นตัวของภาคการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม
“ในส่วนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจริงนั้น เราเชื่อว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ในภาพของการลงทุนแล้วมักจะฟื้นตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจจริงอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในระยะฟื้นตัวไปจนถึงกลางปีหน้า”
ลุยหุ้นเทคฯ จีน ดัก Fund Flow สะพัดเอเชีย
ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน และทีมผู้จัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล กล่าวว่า Sentiment หุ้นทั่วโลกเป็นบวกจากปัจจัยหลักคือข่าวการค้นพบวัคซีน ซึ่งทำให้ทิศทางการลงทุนเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีการประกาศข่าวการค้นพบ และยังคงมีอิทธิพลต่อกระแสการลงทุนทั่วโลกจนปัจจุบัน
นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่โหมใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีสภาพคล่องล้นและเงินลงทุนต้องแสวงหาสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ทั่วโลก
โดยกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการลงทุนในจีนก็คือกลุ่มหุ้นเทคฯ ซึ่งแม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่หากเทียบกับการเติบโตเชิงปัจจัยพื้นฐาน ยังมองว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ ของจีนยังปรับเพิ่มขึ้นได้อีก นอกจากนี้กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ของจีนก็น่าสนใจเข้าลงทุน
“ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นโลกกับจีนและไทยในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน และให้ความสนใจในหุ้นเทคฯ ของจีนค่อนข้างมาก เพราะเป็นเทรนด์อนาคต และเมื่อเทียบกับสเกลของธุรกิจในจีนที่ค่อนข้างใหญ่มากแล้ว เชื่อว่าจะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดี”
ขายทำกำไรช่วงสั้น-ทยอยสะสมเมื่อหุ้นปรับฐาน
วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่มีข่าวการค้นพบวัคซีนจะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นกันหมด และเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่เร็วสุดในรอบ 20 ปี จึงมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มแพงหรือเต็มมูลค่าหุ้นแล้ว เชื่อว่าในระยะสั้นๆ ดัชนีจะมีการปรับฐานอีกระลอก
“แม้จะมีวัคซีนมา แต่ก็ยังไม่ได้มาในทันทีทันใด เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกก็ยัง Suffer อีกระยะ ซึ่งปัจจัยนี้จะทำให้ดัชนีปรับฐานระยะสั้นได้”
สำหรับตลาดหุ้นไทย มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในช่วงที่ดัชนีปรับฐาน เนื่องจากเชื่อว่าในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อ เพราะได้รับปัจจัยบวกเรื่อง Fund Flow จากต่างประเทศที่จะไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (EM) หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว ขณะเดียวกันในเอเชียยังมีประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว ทั้งจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่จะดึงดูด Fund Flow เข้ามาสู่ภูมิภาค ซึ่งส่งผลดีต่อตลาด EM ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทุนเลือกเข้าสะสมในหุ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรในปี 2564 สูง อาทิ กลุ่มวัฏจักร แต่ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงมาจากฐานกำไรในปีนี้ที่ต่ำผิดปกติ ขณะที่ราคาหุ้นบางตัวอาจจะปรับขึ้นสอดรับปัจจัยนี้ไปแล้วล่วงหน้า
ส่วนการจัด Asset Allocation (พอร์ตจำลองสำหรับผู้ลงทุนอายุช่วง 30 ปี) แนะนำให้
- เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เป็น 40% (เดิม 35%)
- ลดสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยเป็น 25-30% (เดิม 35%)
- ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นโลกเป็น 10% (เดิม15%)
- เพิ่มน้ำหนักลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็น 15-20% (เดิม 10%)
- ลดสัดส่วนลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เป็น 3% (เดิม 5%)
- ถือเงินสดเพิ่ม เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นอีกครั้งเมื่อดัชนีปรับฐาน
คาดหุ้นไทยปีหน้าแตะ 1,600 จุด
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ผ่านพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ช่วยเพิ่มความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ประกอบกับการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังจากธนาคารกลางและภาครัฐทั่วโลกเป็นปัจจัยที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้วยปัจจัยต่างๆ ล้วนขับเคลื่อนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปลายปี 2563 และแรงหนุนดังกล่าวจะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งขึ้นต่อในไตรมาส 1 ปี 2564
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในประเทศเรื่องแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการคลังที่คาดจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมทั้งหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งภาคส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าสำคัญ ผสานการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำช่วยผ่อนคลายเรื่องต้นทุน
ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้คาดจะเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่ม Upside Risk ต่อการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นในช่วงถัดไป หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2564 ที่ 1,600 จุด และแนะนำลงทุนกลุ่มปิโตรเคมี, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์ และไฟแนนซ์
เน้นลงทุนหุ้นวัฎจักร หุ้นคุณค่า และหุ้นราคาต่ำกว่าอุตสาหกรรม
ฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง ระบุว่า การคาดการณ์การกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ภายในช่วงกลางปี 2564 จะหนุนกลุ่มที่เติบโตตามวัฏจักร (Cyclical Growth) ,กลุ่มหุ้นที่ลงทุนเน้นคุณค่า (Value) และกลุ่มหุ้นปรับตัวได้ช้ากว่ากลุ่ม (Laggard Plays)
สําหรับกลุมอุตสาหกรรม เราชื่นชอบกลุ่มน้ํามันและก๊าซ และกลุ่มปิโตรเคมี (TOP, IVL), กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC), กลุ่มธนาคาร (BBL, SCB, TISCO) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย (LH, SPALI)
ส่วนการคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศจํานวนมาก จะส่งผลบวกต่อกลุ่มการแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
ภาพประกอบ: อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า