บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ประกาศผลงานไตรมาส 4/65 พลิกขาดทุน 744 ล้านบาท โดนผลกระทบค่าใช้จ่ายหลายส่วนเพิ่มขึ้น แถมมีการตั้งสำรองด้อยค่าเงินลงทุนในเมียนมา ส่วนทั้งปี 2565 ยังมีกำไร 1.03 หมื่นล้านบาท ลดลง 9.6%
วิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4/65 พลิกมาขาดทุนสุทธิ 744 ล้าบาท ลดลงมากกว่า 100% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่มีกำไรสุทธิ 2,354 ล้านบาท เนื่องจากกำไรก่อนภาษี ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) ในไตรมาส 4/65 อยู่ที่ 1,254 ล้านบาท ลดลง 1,393 ล้านบาท หรือ 52.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 โดย EBITDA ลดลงในกลุ่มธุรกิจ Mobility จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรอ่อนตัวจากต้นทุนเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้น โดยหลักมาจากผลกระทบจากน้ำมันดีเซลทั้งในธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจตลาดพาณิชย์
บทความที่เกี่ยวข้อง
- “นี่เป็นราคาที่เราพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย” เจ้าของสุกี้ตี๋น้อยกล่าวหลัง Jaymart ควักเงิน 1.2 พันล้านบาทเข้าถือหุ้น 30%
- ADVANC ทุ่ม 32,420 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ 3BB จาก JAS
- กางแผน ‘โอ้กะจู๋’ หลังมี OR เป็นแบ็กอัป เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 60 แห่ง ขายผักสดและบุก CLMV ก่อน IPO ในปี 2567
ขณะที่ EBITDA กลุ่มธุรกิจ Global ลดลงจากประเทศกัมพูชาเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle มี EBITDA เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับภาพรวมของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นจากค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาทรัพย์สิน ค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย รวมทั้งมีการตั้งสำรองด้อยค่าเงินลงทุนในประเทศเมียนมา
ทั้งปี 2565 มีกำไรสุทธิ 1.03 หมื่นล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2565 ของ OR มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,370 ล้านบาท ลดลง 1,104 ล้านบาท หรือ 9.6% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 11,474 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 มีต้นทุนผลิตภัณฑ์ในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปรับเพิ่มขึ้น 16.8% โดยส่วนใหญ่เป็นค่าขนส่งที่ผันแปรตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งในปี 2565 บริษัทมีรายการขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้นจากการบริหารความเสี่ยงของเงินตราต่างประเทศที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of Income) เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการลงทุน บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากการร่วมลงทุนกับพาร์ตเนอร์ (Partners) ในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle สำหรับในปี 2565 มีรายได้ขายและบริการอยู่ที่ 7.90 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.3% เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่คลี่คลาย ทำให้ภาพรวมปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ
มองราคาน้ำมันดิบปีนี้อ่อนตัว
แนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2566 มีแนวโน้มค่าเฉลี่ยปรับตัวลดลงมากกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดการชะลอตัว โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป สถานการณ์เงินเฟ้อที่ทำให้ธนาคารกลางยังคงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้กิจกรรมทางอุตสาหกรรมในยุโรปมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งปริมาณอุปทานในปี 2566 มีแนวโน้มสูงขึ้น จากกลุ่ม OPEC+ และสหรัฐอเมริกา ที่ยังคงปรับเพิ่มกำลังการผลิต
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังคงได้รับการสนับสนุนจากการที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปยังคงดำเนินการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย รวมทั้งกลุ่ม G7 ที่กำหนดเพดานราคาซื้อขายน้ำมันดิบรัสเซีย ทำให้มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก และการเปิดประเทศของจีนสนับสนุนอุปสงค์น้ำมันในปี 2566 อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2566 จะอยู่ที่ 80-87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่สถานการณ์ของน้ำมันสำเร็จรูปปี 2566 สอดคล้องกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซินคาดว่าปริมาณอุปสงค์ได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะยุโรปกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปริมาณอุปทานเบนซินในเอเชียคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากประเทศจีนที่มีการประกาศเพิ่มโควตาการส่งออก โดยปริมาณเบนซินคงคลังเชิงพาณิชย์ที่สิงคโปร์ยังอยู่ในระดับที่สูง อุปสงค์น้ำมันดีเซลมีแนวโน้มถูกกดดันจากสถานการณ์ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ จากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง นอกจากนี้ปริมาณการส่งออกดีเซลจากจีนมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับน้ำมันเบนซิน เนื่องจากโควตาการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดีเซลอาจได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ยุโรปเริ่มคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งปริมาณนำ้มันดีเซลคงคลังเชิงพาณิชย์ในหลายภูมิภาคยังอยู่ในระดับต่ำ ด้านน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด อุปสงค์สำหรับการขนส่งสินค้าทางอากาศคาดว่ายังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่อุปสงค์น้ำมันอากาศยานสำหรับการเดินทางนั้นยังคงได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งทำให้มีแนวโน้มการเดินทางทั้งภายในและระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
