เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) รายงานกำไรสุทธิ 2Q66 อยู่ที่ 2.75 พันล้านบาท โดยลดลง 58%YoY และ 7%QoQ กำไรที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรลดลง เนื่องจากกำไรขั้นต้นต่อลิตร ลดลงจาก 1.01 บาทใน 1Q66 สู่ 0.96 บาทใน 2Q66 หลักๆ เกิดจากธุรกิจตลาดพาณิชย์ ในขณะที่มาร์จิ้นของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันยังทรงตัว กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไรใน 2Q66 เนื่องจาก EBITDA Margin เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ใน 1Q66 สู่ 26.6% ใน 2Q66 โดยเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง
กลุ่มธุรกิจ Mobility: ได้รับผลกระทบจากปริมาณการขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ปริมาณการขายน้ำมันลดลง 1.4%QoQ สู่ 6.9 ล้านลิตรใน 2Q66 เนื่องจากปริมาณการขายน้ำมันดีเซลให้กับโรงไฟฟ้าลดลง ในขณะที่ปริมาณการขายน้ำมันอยู่ในระดับทรงตัว YoY ปริมาณการขายน้ำมันดีเซลให้กับโรงไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน < 1% ของปริมาณการขายโดยรวมใน 2Q66 เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติกลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้กำไรขั้นต้นต่อลิตรก็ลดลง 5%QoQ สู่ 0.96 บาทต่อลิตร โดยมีสาเหตุมาจาก Lag Time ในการปรับราคาขายน้ำมันอากาศยาน ในขณะที่ค่าการตลาดของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันยังคงแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ OR สามารถบริหารจัดการให้มีกำไรจากสินค้าคงเหลือจำนวน 1.7 พันล้านบาทใน 2Q66 โดยปรับ Inventory Days ให้เหมาะสมและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Mobility ลดลง 60%YoY และ 22%QoQ ส่วนแบ่งการตลาดใน 1H66 อยู่ที่ 42.7% โดยส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอยู่ที่ 39.8%
กลุ่มธุรกิจ Lifestyle: EBITDA Margin ปรับตัวดีขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง EBITDA จากกลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 3.4%YoY และ 16.4%QoQ โดยเกิดจาก EBITDA Margin ที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 24.2% ใน 1Q66 สู่ 26.6% ใน 2Q66 และปริมาณการขายที่สูงขึ้นของร้าน Café Amazon (เพิ่มขึ้น 2%QoQ) ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันอยู่ในระดับทรงตัว อันเป็นผลมาจากการทำสัญญาระยะยาวกับซัพพลายเออร์ OR สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดจ้างภายนอกลงได้ผ่านทางการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทเอง
กลุ่มธุรกิจ Global: ปริมาณการขายในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น ธุรกิจในฟิลิปปินส์ของ OR เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไรของกลุ่มธุรกิจ Global ใน 2Q66 อันเป็นผลมาจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มธุรกิจ Global ยังน้อยมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6.6% ของกำไรจากการดำเนินงานใน 1H66
กระทบอย่างไร:
วันที่ 10 สิงหาคม ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น OR ปรับลดลง 1.44%DoD อยู่ที่ระดับ 20.60 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.48%DoD อยู่ที่ระดับ 1,518.60 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
แม้กำไรสุทธิ 1H66 ลดลง YoY จากฐานสูง แต่ค่าการตลาดที่ดีขึ้นและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลงในปี 2566 จะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 31% สู่ 1.36 หมื่นล้านบาท หลังจากสะดุดลงในปี 2565 โดยใช้สมมติฐานกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่ 1 บาทต่อลิตร และ EBITDA Margin ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่ 24.5% ต่ำกว่า 24.8% ในปี 2565 เล็กน้อย ผลการดำเนินงาน 1H66 บ่งชี้ว่าสมมติฐาน EBITDA Margin สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่ประมาณการยังคงเป็นตัวเลขตามหลักความระมัดระวัง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน InnovestX Research ยังคงราคาเป้าหมายของ OR ไว้ที่ 27 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับ EV/EBITDA (ปี 2566) ที่ 14 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของธุรกิจค้าปลีกในตลาดไทย หรือเทียบเท่ากับ P/E (ปี 2566) ที่ 23.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2564-2565 ที่ 29 เท่าเล็กน้อย และ PBV 2.9 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2564-2565 ที่ 3.2 เท่า ทั้งนี้ ให้ EV/EBITDA เป้าหมายสำหรับ OR สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจการตลาดน้ำมัน เพื่อสะท้อนความเป็นผู้นำในตลาดของบริษัท
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องติดตาม คือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันของ OR ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจทำให้มีขาดทุนสต๊อกมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ คือการแทรกแซงของรัฐบาลในการกำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมัน (โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล) การแข่งขันที่สูงขึ้น และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นซึ่งไม่สามารถส่งผ่านได้