เคยได้ยินคำกล่าวคุ้นๆ ทำนองว่า “ถ้ามัวแต่ทำแบบเดิม จะคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่ได้อย่างไร” กันบ้างไหมครับ?
ผมคิดถึงคำนี้ขึ้นมาในระหว่างที่กำลังตื่นตาตื่นใจไปกับลีลาการเล่นในสนามของน้องๆ ที่กำลังเริงระบำปลายเท้ากันอย่างสนุกสนานในรายการฟุตบอลเด็กรูปแบบที่แปลกใหม่
ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีเงินรางวัล ไม่มีดาวซัลโว
แต่มีโอกาส มีพื้นที่เปิดกว้างทางจินตนาการลูกหนัง มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครมาตีกรอบขีดเส้นให้
น้องทุกคนอยากจะเล่นกันแบบไหน ทุกคนเลือกได้เอง
นี่คือ YFL 4×4 รายการฟุตบอลที่ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ลูกหนังสมัยใหม่ ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบผลลัพธ์และคำตอบใหม่ๆ ของวงการฟุตบอลไทย ที่อยากจะหยิบมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ครับ
“คุณว่างไหม ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
ในทีแรกผมคิดว่าเพื่อนจะมาบ่นเรื่องชีวิตประจำวันกับสารพันปัญหาที่ต้องเจอเหมือนทุกที แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่อยากจะเล่าให้ฟังถึงโปรเจกต์ฟุตบอลครั้งใหม่ที่เขาคิดและตั้งใจอย่างมาก
“จำฟุตบอลเด็กที่เคยจัดเมื่อปีที่แล้ว (2567) ได้ไหม ที่ชวนเด็กๆ มาเตะฟุตบอลเล่นกันข้างละ 4 คน ผมอยากจะจัดอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ใช่การแข่งแบบวันเดียวแล้วนะ แต่จะแข่งเป็นลีกเลย”
ผมพยายามประมวลผลตาม และนึกย้อนกลับไปถึงการแข่งขันฟุตบอลโต๊ะเล็กข้างละ 4 คน ที่เรียกกันเท่ๆ ว่า “4v4” ที่เขาเคยชวนมาดูตั้งแต่เมื่อปีกลาย ซึ่งเมื่อไปดูแล้วก็พบว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ เพราะนอกจากจะได้เห็นน้องๆ วาดลวดลายกันอย่างสนุกสนานแล้ว ยังเป็นการเปิดแผลเพื่อผ่าตัดแก้ไขหนึ่งในปัญหาที่ทำให้วงการฟุตบอลเยาวชนไทยติดหล่ม
ปัญหาที่ว่านั้นนอกเหนือจากเรื่องของ “โครงสร้าง” ทางเกมฟุตบอลแล้วคือเรื่องของการที่เด็กไทยจำนวนไม่น้อยมีปัญหาในเรื่องของพื้นฐานการเล่น ความคิด การตัดสินใจ
เพราะเด็กหลายคนแทบทุกครั้งที่ลงสนาม เด็กๆ จะเจอ “เสียง” ที่คอยตะโกนสั่งการจากด้านนอกสนามเสมอ ไม่ว่าจะจากโค้ชหรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งบางครั้งก็อาจจะไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี แต่ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือเด็กไทยขาดความกล้าที่จะคิดจะเล่นหรือตัดสินใจในสนาม
การเล่นจึงขาดจินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงวัยเด็ก สำคัญยิ่งกว่าชัยชนะหรือถ้วยรางวัลด้วยซ้ำไป
และนั่นเป็นความคิดของการอยากทดลองอะไรใหม่ๆ ด้วยการต่อยอดเอาฟุตบอล 4v4 กลับมาทำต่อในปีนี้
ความแตกต่างคือแทนที่จะจัดวันเดียวจบแล้วแยกย้าย ก็จะเป็นการจัดแข่งกันในระบบ “ลีก” ลงแข่งขันอย่างต่อเนื่องแทนในชื่อรายการ “Youth Football League” หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “YFL4v4”
“แต่ไม่มีรางวัลอะไรให้นะ” คำนี้เมื่อได้ยินก็ทำเอาผมเกาหัวแกรกอีกที
“แล้วเด็กจะได้อะไร?” ผมยิงคำถามกลับไปถึงเพื่อนรักนักดื่มชานมผู้เป็นกัลยาณมิตรในชีวิตจริงของผมอย่าง สุธี ก่อกูลเกียรติ หรือ “หนุ่ย Sportech Pro” ผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพนักกีฬาอาชีพแบบจริงจังแห่งแรกของประเทศไทยที่คนในวงการกีฬารู้จักกันเป็นอย่างดี
“เด็กจะได้โอกาสในการพัฒนาไง” คือคำตอบที่ได้รับกลับมา
เพราะจากเดิมที่จัดกิจกรรมแบบวันเดียวจบ เมื่อจัดเป็นลีก “YFL4v4” ที่มีจำนวนการแข่งขันถึง 7 สัปดาห์ (Matchweek) สิ่งแรกที่น้องๆ ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับคือโอกาสในการลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในประเทศไทย
ใช่ครับ ประเทศไทยไม่มีรายการฟุตบอลลีกระดับเยาวชนแบบจริงจังแบบในประเทศผู้พัฒนาแล้วทางเกมลูกหนัง เรามีแต่รายการฟุตบอลทัวร์นาเมนต์สำหรับเด็ก และไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วม ส่วนมากเด็กที่อยู่ในแวดวงฟุตบอลจริงจังจะเป็นเด็กที่อยู่ในระบบอะคาเดมี ซึ่งจะเชื่อมโยงกับทีมโรงเรียนต้นสังกัดอีกทอดหนึ่ง
“YFL” ไม่ได้วางตัวเองว่าเป็นลีกฟุตบอลเยาวชนที่ดีที่สุด คัดเฉพาะเด็กที่เก่งเทพสุดๆ แต่เลือกจะเป็นรายการที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มา “ลองของ” กัน
เริ่มจากกระบวนการคัดเลือกที่เปิดโอกาสให้เด็กทั่วประเทศที่เกิดในปี 2557 และ 2558 (9-10 ขวบ) สมัครเข้ามาไม่จำกัดว่าจะอยู่ที่ไหน เดินทางมาคัดเลือกในวันที่กำหนดได้ก็พอ ซึ่งมีจำนวนผู้สมัครเข้ามาเกือบ 800 คนจากทั่วประเทศ
บางคนพ่อแม่ขับรถมาส่งจากเชียงราย
บางคนพ่อแม่ส่งขึ้นรถไฟจากใต้มาคนเดียว
ลำบากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรเพราะที่นี่มี “โอกาส” ให้ อย่างน้อยได้มาลองของ ได้รู้จักฝีเท้าของตัวเอง ได้รู้จักฝีเท้าของคนอื่น ได้รู้ว่าอยู่ในระดับไหน มีอะไรที่ทำดีแล้ว มีอะไรที่ยังทำได้ไม่ดี
โดยทั้งหมดทุกคนจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในสนามเท่านั้น เพราะกฎเหล็กสำคัญของรายการนี้คือห้ามไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง “โค้ชชิ่ง (Coaching) เด็กจากข้างสนามอย่างเด็ดขาด ห้ามสั่ง ห้ามบอกว่าจะให้เล่นแบบไหนอย่างไร เสียงที่ส่งออกมาได้มีเพียงแค่เสียงเชียร์ให้กำลังใจเท่านั้น (อันนี้ยังสำคัญมากๆ นะ!)
เด็กต้องเล่นด้วยตัวเอง และคนที่จะบอกเขาได้ หรือเขาบอกคนอื่นได้ก็คือเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในสนามเท่านั้น
เพราะไม่มีการเรียนรู้ที่ไหนจะดีไปกว่าการเรียนรู้จากสถานการณ์จริงเมื่ออยู่ในสนาม ในบรรยากาศของการแข่งขัน ซึ่งผู้จัด YFL ตั้งใจและมั่นใจว่าไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเก่งมากหรือเก่งน้อย ไม่ว่าจะผ่านการคัดตัวเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในลีกจริง (คัดให้เหลือราว 200 คน) หรือไม่ก็ตาม
ทุกคนจะได้บางอย่างกลับไปพัฒนาตัวเองอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับน้องๆที่เข้าตาคณะกรรมการได้คัดเลือกเข้าร่วมแข่งขันจริงๆ จะได้โอกาสถึง 7 สัปดาห์ในการเรียนรู้วิชาลูกหนังในสนาม
สิ่งเหล่านี้จะคล้ายกับแนวทางในหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาทักษะ สร้างเสริมจินตนาการ ความเข้าใจในเกมการเล่นก่อนเรื่องของผลการแข่งขัน ชัยชนะ (และการไม่แอบส่งเด็กโตไปแข่งกับเด็กที่อายุน้อยกว่า…)
ยกตัวอย่างในประเทศอังกฤษเอง สมาคมฟุตบอล (FA) มีแผนแม่บทใหม่ในการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนที่คล้ายกัน แต่จะแข่งกันแบบ 3v3 สำหรับเยาวชนรุ่นอายุต่ำกว่า 7 ปี โดยเป็นแบบแผนฟุตบอลใหม่ (New Football Format) ซึ่งผ่านการพัฒนาโดยมหาวิทยาลัย John Moores แห่งเมืองลิเวอร์พูลที่ได้ผลการศึกษาจากฟุตบอลระดับรากหญ้า (Grassroots) ในระดับ U6-U14 ที่จะช่วยพัฒนาฟุตบอลเยาวชนได้ดีขึ้น
YFL ก็แอบมีความหวังว่าแนวทางนี้จะช่วยพาวงการฟุตบอลไทยก้าวผ่านสี่แยกคลองตัน เพื่อไปสู่ถนนพัฒนาการได้เสียที
ส่วนตัวผมเองมีโอกาสได้ไปดูบรรยากาศตั้งแต่วันคัดเลือกเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และวันแรกของการเริ่มเปิดลีก “YFL” เมื่อวันที่ 15-16 มีนาคม
เท่าที่สายตายาวๆ ของผมเฝ้าดู ผมคิดว่าพอมองเห็นอะไรบางอย่างครับ
อย่างแรก น้องๆ เหล่านี้ฝีเท้าไม่ธรรมดา หลายคนจัดจ้านในย่านนี้พอสมควร ซึ่งไม่ใช่แค่ทักษะการเล่น ความสามารถเฉพาะตัว ที่บางคนเห็นแค่การจับบอลก็รู้แล้วว่าครูสอนมาดี และน่าจะมาจากอะคาเดมีหรือโรงเรียนฟุตบอลที่ดี แต่บางคนไปไกลกว่าด้วยการแสดงให้เห็นถึงจินตนาการ (Imagination), วิสัยทัศน์ (Vision) ไปจนถึงเรื่องของความเป็นผู้นำ (Leadership)
เท่าที่สอบถามมาในรายการ YFL มีเด็กหลายคนที่มาจากอะคาเดมีเปรียบเหมือนจอมยุทธ์ฝึกหัดจากสักสำนักหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ได้อยู่อะคาเดมีไหนมาก่อน เรียกว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่รอนแรมมาเจอรายการนี้เข้าพอดี
อย่างต่อมาคือความมุ่งมั่นในการเล่น ทุกคนเต็มที่หมดทุกจังหวะ เมื่ออยู่ในสนามมีการงัดทุกกลเม็ดเด็ดพรายที่มีออกมาใช้ เพื่อหาทางเอาชนะคู่แข่งให้ได้
ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันคือเรื่องของสปิริต น้ำใจนักกีฬา ไม่มีการเล่นนอกกติกา เล่นกันในเกม ไม่มีตุกติก ไม่มีล้มแล้วนอนถ่วงเวลา มีแต่เห็นเพื่อนล้มรีบไปขอโทษจับมือกันขึ้นมา และแน่นอนไม่มีการด่าทอโวยวายกัน ไม่มีบรรยากาศของความ Toxic ให้เห็นเลย เป็น Vibe ลูกหนังที่โคตรดี
ส่วนสิ่งที่อยากจะเห็นและได้เห็นนิดหน่อยคือเรื่องของการพยายามแก้ไขสถานการณ์และแก้ปัญหาในเกม เพราะบางครั้งลงสนามไปเจอคู่แข่งแข็งแกร่งกว่าสู้ไม่ได้ น้องๆก็ต้องพยายามปรับทิศทางการเล่น แก้ลำกันสดๆ คนนั้นขยับขึ้น คนนี้ขยับลง คนนั้นถ่างออกริมเส้น เล่นหลายจังหวะไม่ได้ก็เล่นหนึ่งสอง เล่นบอลสั้นไม่ได้ก็วางบอลยาว
สิ่งนี้คือการ “เดิมพัน” ที่เหล่าผู้จัดฝันและหวังไว้ว่าเมื่อครบ 7 Matchweek แล้ว เราจะได้เห็นพัฒนาการของน้องๆ อย่างชัดเจน
“พี่ยิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ “พี่เซฟ” ศุภนันท์ บุรีรัตน์ สองนักเตะทีมชาติไทยมาชมฟอร์มและแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกับน้องๆ YFL
ความน่ารักคือจะมีโค้ชระดับประเทศที่ให้คำแนะนำติชมเมื่อจบการแข่งในแต่ละสัปดาห์อีกที เช่น ในสัปดาห์แรกจุดที่โค้ชมองเห็นภาพรวมคือ “การจับบอลจังหวะแรก” (First touch) ของหลายคนยังไม่ดีพอ ให้การบ้านไปฝึกฝนกันมาใหม่
อ้อ! ที่ผมบอกว่า “เหล่าผู้จัด” นั้นเป็นเพราะรายการนี้เป็นความร่วมมือกันของ 3 องค์กรครับ ซึ่งอยากปรบมือให้ทุกคน
Sportech Pro ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานักกีฬาที่ฝันอยากจะเห็นเด็กไทยเก่งที่สุดในโลก, เพจฟันเฟืองเรื่องบอลเด็ก ผู้คร่ำหวอดในวงการฟุตบอลเยาวชนและเป็นหนึ่งในสื่อสร้างสรรค์ที่หวังจะเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ที่พัฒนาวงการฟุตบอลไทย และ STB Academy หนึ่งในอะคาเดมีลูกหนังระดับชั้นนำของบ้านเราที่ผลิตเยาวชนฝีเท้าดีมากมายที่ขอหัวจมท้ายในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ลูกหนังครั้งสำคัญของประเทศไทย
งานนี้ไม่ง่ายครับ เหนื่อยทั้งกำลังกาย เหนื่อยทั้งกำลังใจ ไม่นับเรื่อง “ทุนรอน” ที่บางส่วนต้องควักกันเองด้วย
ผมได้ยินแล้วเตรียมจะง้างปากถามต่อว่า “ไม่กลัวเหนื่อยเปล่าเหรอแบบนี้”
แต่มองเห็นแววตาของทีมงานผู้จัดทุกคน และประกายที่ลุกโชนบนนัยน์ตาของน้องๆ ที่กำลังวาดลวดลายในสนามแล้ว ผมเก็บคำถามนี้ใส่ลิ้นชักเอาไว้และล็อกกุญแจทันที
ถ้าเรามัวแต่ทำอะไรเดิมๆ จะคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ ได้อย่างไร?
เช่นนั้น ขอให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างและดีต่อประเทศไทยนะ 🙂
* สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook เพจ 4vs4YouthFootballProject