×

อำนาจอันแท้จริงของราษฎร

17.12.2024
  • LOADING...

​มีเรื่องเล่าเบาสมองเรื่องหนึ่งเล่าต่อกันมาว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมานาน ภรรยาอยากลองใจสามีจึงคุยกัน

 

ภรรยา: เราอยู่กันมา 30 ปีแล้ว คุณรู้ไหมว่าฉันยังต้องการอะไรอีก

 

สามี: ไม่แน่ใจ

 

ภรรยา: ลองทายสิ

 

สามี: อยากได้รถคันใหม่

 

ภรรยา: ไม่ใช่

 

สามี: อยากไปเที่ยวรอบโลก

 

ภรรยา: ไม่ใช่

 

สามี: อยากได้บ้านชายทะเลสักหลังหนึ่ง

 

ภรรยา: ไม่ใช่

 

​ไม่ว่าสามีจะพูดถึงการล่องเรือสำราญ การซื้อเพชรพลอย หรือการซื้อหุ้น Blue Chip ในตลาดหลักทรัพย์ ภรรยาตอบคำเดียวว่า “ไม่ใช่”

 

สามี: ยอมแล้ว

 

ภรรยา: นั่นแหละ ใช่เลย

 

ภรรยาตอบแบบเต็มปากเต็มคำ

 

​เมื่อเอาเรื่องนี้ไปเล่าสู่กันฟังในแวดวงเพื่อนมิตร พอเล่าจบบรรดาผู้หญิงจะพากันหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่

 

​เรื่องนี้จึงไม่เพียงเป็นเรื่องเล่าเอาสนุกเท่านั้น แต่มีนัยบางอย่างที่ควรคำนึง

 

​ตำราที่ชี้ว่าอำนาจมาจากตำแหน่ง, ความเชี่ยวชาญ, เงิน, บารมี, อิทธิพล หรืออะไรอื่น แต่ตำราคงหลงลืมไปว่าสถานะแห่งความเป็นภรรยาก็เป็นที่มาแห่งอำนาจอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ชายทั้งโลกยอมรับ

 

​จึงมีคำเรียกภรรยาว่าเป็น ‘ผบ.ทบ.’ คือเป็น ‘ผู้บังคับบัญชาที่บ้าน’ นับว่าคนคิดคำพูดนี้มีความแยบคายพอที่จะจำกัดอำนาจภรรยาไว้เพียงที่บ้านเท่านั้น อย่าพึงเอาอำนาจภรรยามายุ่งเกี่ยวในที่ทำงาน ซึ่งสงวนไว้สำหรับสามีเท่านั้น

 

​เชื่อหรือไม่ว่า ‘ความต้องการ’ เป็นแรงผลักดันในใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหน ศาสนาไหน ตำแหน่งอะไร อาชีพอะไร

 

​ความเป็นพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทำให้มีอำนาจเหนือลูก

 

​เมื่อไม่ได้ตามต้องการ ลูกอาจออกอาการร้องไห้ โวยวาย ปั้นปึ่ง แสดงอำนาจให้ปรากฏต่อพ่อแม่

 

​ครูมีอำนาจเหนือลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์ก็มีวิธีประท้วงครูด้วยการไม่เข้าเรียน แสดงอาการไม่สนใจเรียน

 

​ผู้ขายกับผู้ซื้อต่างมีอำนาจต่อรองในการซื้อขายทางเลือกที่จะซื้อสินค้าร้านอื่นยี่ห้ออื่น คืออำนาจของผู้ซื้อ สินค้าคุณภาพ หรือทางเลือกอื่นที่จำกัด เป็นอำนาจของผู้ขาย

 

การต่อรองจึงเป็นการสำแดงอำนาจต่อกันและกัน

 

​สื่อมวลชนมีอำนาจในการกระจายข่าว ขณะที่ผู้ให้ข่าวจะเป็นนักการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงของภาคราชการ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีอำนาจในประเด็นข่าวที่สื่อต้องการ

 

​สื่อออนไลน์ทั้งปวงในเวลานี้ ทั้ง Facebook, Instagram, LINE, YouTube และ TikTok เปิดพื้นที่ให้บุคคลมีอำนาจขึ้นมาด้วยการนำเสนอ เปิดเผย ให้ความเห็น จนกลายเป็นพลังปัจเจกที่ใครก็คุมไม่ได้

 

​ในวันนี้มีทนายความเป็นอีกอาชีพหนึ่งซึ่งสามารถนำเสนอเรื่องราว ร้องเรียน จนกลายเป็นอีกอำนาจหนึ่งถึงขั้น ทำให้เกิดประเด็นที่บ่งชี้ชะตากรรมของนักการเมือง หรืออีกทางหนึ่งสามารถตบทรัพย์แหล่งข่าวได้

 

​อำนาจจึงเป็นปรารถนาในใจของทุกคนที่ต้องการบรรลุผลตามประสงค์ และอำนาจในตัวของมันเองไม่ใช่ผิดบาปอะไร ประเด็นอยู่ที่ว่าจะใช้อำนาจนั้นอย่างไร เพื่อใคร และนำไปสู่อะไร

 

​การต่อรองทั้งหลายเป็นการสำแดงอำนาจของฝ่ายตนเข้าเผชิญกับอีกฝ่ายหนึ่ง

 

​ขอน้อมนำไปสู่สิ่งที่เป็นอำนาจทางการเมือง

 

 

​เมื่อ 500 ปีก่อน แมคคิเวลลี (ปี 1469-1527) นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลีเขียนหนังสือชื่อ เจ้าผู้ปกครอง (THE PRINCE) มีสาระสำคัญว่า

 

  1. รัฐเป็นรูปแบบสูงสุดของประชาคมมนุษย์ รัฐจึงต้องได้รับความเคารพยกไว้สูงสุดประหนึ่งเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ผู้ปกครองจึงต้องตระหนักไว้ว่าอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้การใดๆ สำเร็จได้
  2. เป้าหมายจะให้ความชอบธรรมกับวิธีการ (End justifies means) เพื่อบรรลุเป้าหมาย จะใช้วิธีการใดก็ได้ เพื่อให้ผู้ปกครองมีอำนาจ รักษาอำนาจไว้ได้ ไม่ว่าด้วยการหลอกลวง คดโกง หรือทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม
  3. ผู้ปกครองจะไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎแห่งศีลธรรมหรือศาสนา จะต้องมีลักษณะของหมาจิ้งจอกกับสิงโต คือเจ้าเล่ห์และมองการณ์ไกลเหมือนหมาจิ้งจอก กล้าหาญและเหี้ยมโหดเหมือนสิงโต

 

ปัญหาของคนมีอำนาจอยู่ที่การเอาอำนาจของตนเองเป็นตัวตั้ง เพื่อรักษาอำนาจไว้ให้คงทน จึงไม่เลือกวิธีการกระทำ เช่น ใช้ความรุนแรงแล้วยังไม่เป็นผล ก็เพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก เพื่อให้สามารถ ‘เอาอยู่’

 

การสังหารยิวด้วยวิธีปกติยังไม่พอ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ให้สร้างเตาเผารมแก๊สเป็นเครื่องมือสังหารโหดที่ฆ่าคนยิวไปนับล้านคนที่ค่ายเอาช์วิทซ์

 

สหรัฐอเมริกาทำสงครามเวียดนาม ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อันเกรียงไกรยังไม่พอ แต่ใช้ฝนเหลืองที่เข่นฆ่าชีวิตทั้งคน สัตว์ และพืช ชนิดที่ตายฉับพลันและตายผ่อนส่งอย่างไร้มนุษยธรรม

 

ในเมืองไทยเรา เมื่อ 20 ปีก่อน คนเป็นผู้นำสำแดงอำนาจโดยเอ่ยว่า

 

“ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีผู้ก่อการร้ายอุดมการณ์ มีแต่โจรกระจอก” ผลพวงตามมาคือการสังหารกรณีกรือเซะ กรณีตากใบ และอีกหลายกรณี มีผู้คนเสียชีวิตราว 2,600 คน ในที่นี้มีจำนวนราว 1,400 คนที่เสียชีวิตโดยไม่พบหลักฐานการกระทำความผิดใดๆ

 

​เมื่อพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ในปี 2548 ด้วยการควบรวมพรรคความหวังใหม่ พรรคกิจสังคม และพรรคอื่นๆ ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาถึง 377 เสียงจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง เป็นประวัติศาสตร์ที่ตั้งรัฐบาลด้วยพรรคการเมืองเดียว ฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ทำไม่ได้ ทำท่าเหมือนจะครองอำนาจเบ็ดเสร็จได้ยาวนาน แล้วในที่สุดการชุมนุมต่อต้านของประชาชนจบลงด้วยการยึดอำนาจของทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้อำนาจการเมืองอันเบ็ดเสร็จต้องล้มคว่ำไป

 

 

​กรณีลักหลับของสภาผู้แทนราษฎรในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ก็ดุจกัน เพราะผู้มีอำนาจละโมบเกิน แทนที่จะเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมกลางซอยกลับกลายเป็นสุดซอย จึงถูกสอยด้วยอำนาจมหาชนนับล้านคน ที่จบลงด้วยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

 

​อำนาจที่คิดว่าจะเสถียรถาวรจึงไม่เป็นไปตามคาดคิด

 

​แล้วอำนาจอยู่ตรงไหน บางทีก็ซ่อนเร้นแต่รู้ว่าอำนาจนั้นมีอยู่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ติดคุกกรณีจำนำข้าวและออกมาแล้ว ก่อนหน้านั้น เมื่อเพื่อนถามว่า ทำไมถึงทำอะไรสุ่มเสี่ยงขนาดนี้ คำตอบของเขาที่ว่า “กูพูดไม่ได้” นั่นคือการยอมรับอำนาจซ่อนเร้นที่มีอยู่จริง

 

​ผู้สยบยอมต่ออำนาจจึงสันทัดในการใช้คำพูดว่า “ดีครับนาย ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน”

 

​แม้ผู้ใช้อำนาจจะเอ่ยคำแสดงอำนาจว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ” อดีตนายกรัฐมนตรีบอกว่า นักวิชาการที่คัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น “นั่งอยู่บนหอคอย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนหนึ่งถึงกับปรามาสผู้ว่าการธนาคารชาติว่า “เรียนจบอะไรมา” กระทั่งรองนายกรัฐมนตรีที่เล่นงานคนคัดค้านการเจรจาตาม MOU 44 ว่า “ปลุกกระแสคลั่งชาติ”

 

​การแสดงอำนาจผ่านวาทกรรมเหล่านี้ผลเป็นอย่างไร ในที่สุดดิจิทัลวอลเล็ตต้องล้มเหลวไปใช่หรือไม่ การแจกเงิน 10,000 บาทให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางก็คือแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแนะนำไว้นั่นเอง

 

​ยิ่งมีการลุอำนาจ เพราะเชื่อว่าใครไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยการเหาะเหินเดินอากาศข้ามฟ้าข้ามทะเลไปอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลแทนคุก โดยไม่ไยดีกับหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรมใดๆ ทั้งๆ ที่ยอมสำนึกผิดในการทุจริตที่ได้กระทำลงไปตามที่ระบุในราชกิจจานุเบกษา แต่ก็สร้างละครลวงโลกเรื่องป่วยทิพย์ขึ้นมา โดยมองไม่เห็นว่ารอยพิรุธตามรายทางกำลังไล่ล่าบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ไปติดคุกแทนเป็นทิวแถว

 

​ความจริงผู้ทรงอำนาจสามารถใช้อำนาจไปในทิศทางที่ถูกที่ควรได้ หากยืนหยัดในความถูกต้อง ความดี และความงาม

 

​ลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 31 ปี ใช้เวลาทั้งหมดสร้างประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางเศรษฐกิจ, การเมือง, การศึกษา และด้านอื่นๆ โดยไม่มีมลทินใดๆ

 

​เนลสัน แมนเดลา ถูกจองจำอยู่ 27 ปี เมื่อมีอิสรภาพ เขาเป็นประธานาธิบดีอยู่ 6 ปี ไม่ยอมรับตำแหน่งต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 และสร้างแอฟริกาใต้ให้รุ่งเรืองขึ้นมาทันตาเห็น

 

สิ่งที่พูดไว้

 

จาก ‘3 ป. ออกไป’ กลายเป็น ‘สามัคคี 3 ป.’

 

จาก ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีที่เป็นรัฐบาล’ กลายเป็น ‘ชะลอไปเรื่อยๆ’

 

จาก ‘แจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทำทันที’ กลายเป็น ‘ให้กลุ่มเปราะบางจำนวนหนึ่ง ส่วนที่ค้างก็รอไปก่อน’

 

จาก ‘ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท’ กลายเป็น ‘สุดแต่ชะตากรรม’

 

จากที่พูดไว้ทั้งหมดคือการตีกรรเชียงหนีไปเรื่อยๆ เพื่อคงอำนาจ จึงต้องรักษาอำนาจให้อยู่ได้ จะรักษาอำนาจได้ต้องพร้อมจะสับปลับ โกหก พูดแล้วไม่ทำ ตามที่แมคคิเวลลีวางแนวทางไว้

 

ฝ่ายการเมืองกำลังเพลิดเพลินกับอำนาจจนดูเหมือนจะลืมกันไปแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่ประชาชนโดยทั่วไป ไม่ใช่เพื่อให้อำนาจเป็นของใคร คณะใด ที่จะใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร

 

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X