ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับคำถามอย่างมากมายเกี่ยวกับพัฒนาการสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กลับไป-กลับมา ไม่แน่นอน แต่ยุ่งยากมากขึ้น ผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอบทความฉบับนี้ในรูปแบบคำถาม-คำตอบ ดังนี้
คำถามที่หนึ่ง: สงครามการค้าที่ไม่มีวันจบสิ้น?
หลังจากที่ภาวะสงครามการค้าดูเหมือนจะดีขึ้นชั่วคราวจากการลดภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษี iPhone และยุโรปมากขึ้น มีคำถามว่าสงครามการค้าเช่นนี้ ไม่จบง่ายๆ ใช่หรือไม่
ในมุมมองของเรา สงครามการค้าในยุคนี้ “ไม่จบง่ายๆ” แม้จะมีช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงชั่วคราว เช่น การบรรลุข้อตกลงลดภาษี 90 วันระหว่างสหรัฐฯ และจีน หรือการเลื่อนการขึ้นภาษียุโรป 50% ไปเป็นเดือน ก.ค. แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการ “ชะลอ” หรือ “พักรบ” เท่านั้น ไม่ใช่การ “ยุติ” สงครามอย่างแท้จริง
การกลับมาประกาศนโยบายที่แข็งกร้าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการขู่เก็บภาษี 25% กับ iPhone และ Samsung หากไม่ย้ายฐานการผลิตมาสหรัฐฯ หรือการขู่เพิ่มภาษียุโรปเป็น 50% นั้น เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวคิด “America First” ยังคงฝังรากลึกและพร้อมที่จะถูกนำกลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองเสมอ นี่คือกลยุทธ์ที่ทรัมป์เคยใช้กับจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มต้นด้วยการขึ้นภาษีสูงถึง 145% ก่อนจะลดลงมาเหลือ 30% หลังการเจรจา แสดงให้เห็นถึง “ศิลปะของการเจรจา” ที่อาศัยการข่มขู่และการสร้างแรงกดดันสูงสุด
เรามองว่าปัจจัยที่ทำให้สงครามการค้าไม่จบง่ายๆ มีหลายประการ ได้แก่ (1) กลยุทธ์การเจรจาที่ดุดันของทรัมป์: ทรัมป์มองว่าภาษีเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบีบให้คู่ค้ายอมทำตามข้อเรียกร้อง การที่เขาจะกำหนดภาษีศุลกากรเองแบบรายประเทศฝ่ายเดียว โดยไม่จำเป็นต้องเจรจาแบบทวิภาคีกับทุกประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
(2) ความซับซ้อนของการเจรจา: การเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละประเทศมีประเด็นอ่อนไหวและผลประโยชน์ที่ต้องปกป้อง การที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าจะลงนามข้อตกลง 90 ฉบับใน 90 วันนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากโดยปกติการเจรจาการค้าใช้เวลาเฉลี่ย 18 เดือนถึงจะตกลง และ 3 ปีครึ่งถึงจะปฏิบัติได้
(3) การตอบโต้จากคู่ค้า: สหภาพยุโรปได้เตรียมภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่ามหาศาล และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มรายการภาษีตอบโต้ หากสหรัฐฯ ดำเนินการตามคำขู่ สงครามภาษีไม่มีผู้ชนะ ทุกฝ่ายจะได้รับผลกระทบ
(4) การย้ายฐานการผลิตที่ไม่ง่าย: การย้ายห่วงโซ่อุปทานการผลิตสมาร์ทโฟนกลับมาสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องยากและมีต้นทุนสูง เนื่องจากสหรัฐฯ ขาดระบบนิเวศการผลิตที่สมบูรณ์แบบเหมือนในเอเชีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายบริษัทลังเลที่จะย้ายฐาน และ
(5) แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว: สัญญาณเตือนจากภาคการขนส่งทางทะเลที่บ่งชี้ถึงการหดตัวของการค้าอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าสงครามการค้ากำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอาจบีบให้บางประเทศต้องยอมลดระดับความตึงเครียดลง แต่ก็เป็นเพียงการชะลอตัวของสงคราม ไม่ใช่การยุติ
ดังนั้น เราจึงมองว่าสงครามการค้าจะยังคงเป็น “ความไม่แน่นอน” ที่สำคัญและเป็น “ปัจจัยหลักของความผันผวน” ในตลาดโลกไปอีกระยะหนึ่ง และประเทศอย่างประเทศไทยก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
คำถามที่สอง: ความทะเยอทะยานของทรัมป์ เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?
หลายฝ่ายมองว่าในภาพใหญ่ทรัมป์มีจุดมุ่งหมาย 5 ประการที่ต้องการให้เกิดขึ้น: (1) โลกกลับไปมีภาษีการค้า ไม่สนับสนุนการค้าเสรี (2) บริษัทกลับมาผลิตในสหรัฐฯ (3) รายได้รัฐบาลสหรัฐฯ มาจากภาษีศุลกากรแทนภาษีเงินได้ (4) เนรเทศผู้อพยพ และ (5) ได้ดินแดนยุทธศาสตร์มาครอบครอง สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
เราวิเคราะห์ทีละประเด็นดังนี้:
(1) โลกกลับไปมีภาษีการค้า ไม่สนับสนุนการค้าเสรี:มีความเป็นไปได้สูงมากในระยะสั้นถึงกลาง ทรัมป์มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะใช้มาตรการภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ การที่เขาไม่ต้องการเจรจาแบบทวิภาคีกับทุกประเทศ แต่ต้องการกำหนดภาษีเองแบบรายประเทศฝ่ายเดียว แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะพลิกโฉมระเบียบการค้าโลกจากระบบการค้าเสรีไปสู่ระบบการค้าแบบ “ต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariff) มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดนั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้ทรัมป์จะผลักดันอย่างหนัก แต่โลกก็มีการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจสูงมาก การกลับไปสู่ยุคการกีดกันการค้าอย่างสมบูรณ์แบบนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ เองด้วย อย่างไรก็ตาม การค้าแบบ “ภูมิภาคนิยม” (Regionalization) อาจเกิดขึ้นได้มากขึ้น
(2) บริษัทต่างๆ กลับมาผลิตในสหรัฐฯ (Reshoring/Onshoring): มีความเป็นไปได้ปานกลางถึงสูง แต่มีข้อจำกัดมหาศาล ทรัมป์เชื่อว่าการนำการผลิตกลับประเทศจะสร้างงานและฟื้นฟูอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นนโยบาย “America First” ที่สำคัญ การขู่เก็บภาษีกับ Apple และ Samsung หากไม่ย้ายการผลิตก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน แต่ข้อจำกัดหลักได้แก่ การย้ายห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนจากเอเชียซึ่งมีระบบนิเวศการผลิตที่สมบูรณ์และมีต้นทุนต่ำกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานานมาก การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและต้นทุนการผลิตที่สูงในสหรัฐฯ เป็นอุปสรรคสำคัญ อย่างไรก็ตาม กระแส “Friendshoring” หรือ “Nearshoring” คือการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่เป็นมิตรหรือใกล้เคียงกับสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นได้มากขึ้น
(3) รายได้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะได้มาจากการเก็บภาษีศุลกากรแทนที่จะเป็นภาษีเงินได้ภายในประเทศ: มีความเป็นไปได้ต่ำมาก แนวคิดนี้สะท้อนจากที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์อย่าง Peter Navarro ที่อ้างว่าภาษีการค้าสามารถสร้างรายได้มหาศาล แต่จากการวิเคราะห์ของสถาบันวิจัยอิสระหลายแห่ง รวมถึง InnovestX เอง ชี้ให้เห็นว่าการคาดการณ์รายได้จากภาษีการค้านั้น “สูงเกินจริง” อย่างมาก ปัจจุบัน ภาษีศุลกากรสร้างรายได้เพียงประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี จากรายได้รวมของรัฐบาลกลาง 4.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งการยกเลิกภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์ต่อปี จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 7.4 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2568 ซึ่งมากกว่ารายได้ที่คาดว่าจะได้จากภาษีการค้า 2-3 เท่า นอกจากนั้น ยังมีผลจาก “Laffer Curve Effect” ที่ระบุว่า การเก็บภาษีที่สูงเกินไปจะลดปริมาณการนำเข้า ทำให้ฐานภาษีหดตัวและรายได้จากภาษีลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น การพึ่งพาภาษีการค้าเป็นแหล่งรายได้หลักเป็นไปไม่ได้ในเชิงปริมาณและโครงสร้าง รัฐบาลสมัยใหม่มีขนาดและภารกิจที่ซับซ้อนกว่าในอดีตมาก การกลับไปใช้โมเดลการคลังแบบศตวรรษที่ 20 นั้นไม่เหมาะสม
(4) การเนรเทศผู้อพยพให้ออกไปจากอเมริกา: มีความเป็นไปได้สูง เพราะเป็นหนึ่งในนโยบายหลักและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ การควบคุมชายแดนและการผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมายออกนอกประเทศเป็นสิ่งที่ทรัมป์ให้ความสำคัญและจะดำเนินการอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัด ได้แก่การดำเนินการขนาดใหญ่เช่นนี้เผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย การต่อต้านจากภาคประชาสังคม และปัญหาด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์กลับมามีอำนาจ นโยบายนี้จะถูกผลักดันอย่างแน่นอน
(5) การได้ดินแดนที่เป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มาครอบครอง เช่น กรีนแลนด์ คลองปานามา หรือแม้กระทั่งแคนาดา และฉนวนกาซา มีความเป็นไปได้ต่ำมากถึงเป็นไปไม่ได้ แม้ทรัมป์อาจมีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ แต่ในทางปฏิบัติแล้วการกระทำเช่นนั้นจะละเมิดอธิปไตยของประเทศอื่นอย่างร้ายแรง และจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างรุนแรงและถูกประณามจากประชาคมโลก การซื้อกรีนแลนด์เคยเป็นแนวคิดที่ถูกพูดถึง แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างชัดเจนจากเดนมาร์ก ส่วนการครอบครองคลองปานามา แคนาดา หรือฉนวนกาซานั้น เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของการเมืองระหว่างประเทศที่เป็นจริง
กล่าวโดยสรุป ทรัมป์จะผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางการค้าและการเข้าเมืองอย่างเต็มที่ แต่เป้าหมายด้านการคลังและด้านการได้มาซึ่งดินแดนนั้นเป็นไปได้ยากมากในทางปฏิบัติ
คำถามที่สาม: การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจโลก: สหรัฐฯ vs. จีน?
หลายฝ่ายมีคำถามว่าสหรัฐฯ มีความเสื่อมถอยมากขึ้น ขณะที่จีนมีแนวโน้มที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่ ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจโลกจากสหรัฐฯ ไปเป็นจีนหรือไม่ และมองภาพในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร?
นี่เป็นคำถามที่ซับซ้อนและสำคัญอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจโลกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามวัฏจักรประวัติศาสตร์ ตามทฤษฎีของ Ray Dalio คือทุก 75 ปี (±25 ปี) จะมีการเปลี่ยนมหาอำนาจหลัก และเมื่อพิจารณาว่าสหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจหลักมานานกว่า 80 ปี โอกาสที่จะเสื่อมถอยลงจึงมีสูง
ตัวอย่างของสหรัฐฯ กับสัญญาณความเสื่อมถอย เช่น (1) ด้านเศรษฐกิจ: แม้จะยังคงเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด แต่การเติบโตเริ่มชะลอตัวลง ภาระหนี้สาธารณะที่สูงเกิน GDP (คาดการณ์จะถึง 107% ภายในปี 2572) และการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายทางการคลังอย่างยิ่ง (2) ด้านการศึกษาและนวัตกรรม: แม้จะยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่ศักยภาพด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์เริ่มถูกท้าทายจากประเทศอื่นๆ (3) ปัญหาภายในประเทศ: ความแตกแยกทางการเมืองระหว่างสองขั้ว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงขึ้น และปัญหาต่างๆ เช่น การควบคุมอาวุธปืน อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงภายในประเทศ
ในฝั่งของจีน สัญญาณของการผงาดขึ้น เช่น (1) ขนาดเศรษฐกิจและเทคโนโลยี: จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก และมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และ 5G ที่พัฒนาได้รวดเร็วและต้นทุนต่ำกว่าฝั่งตะวันตก (2) การค้าและการลงทุน: จีนเป็นผู้เล่นสำคัญในการค้าโลกและมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกผ่านโครงการ Belt and Road Initiative
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็มีจุดอ่อนสำคัญได้แก่ (1) หนี้ประชาชาติ โดยแม้จะเป็นหนี้ในประเทศเป็นหลัก แต่หนี้ประชาชาติที่สูงถึง 263% ของ GDP เป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน (2) นโยบายที่เน้นเสถียรภาพมากกว่าการเติบโต: การควบคุมที่เข้มงวดของรัฐบาลอาจจำกัดศักยภาพการเติบโตในระยะยาว และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ (3) การขาดการยอมรับเงินหยวนเป็นสกุลเงินหลัก: จีนยังไม่ยอมปล่อยให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลกอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางการเงินระดับโลก
ดังนั้นในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า เรามองว่าจะเกิดโลกหลายขั้ว (Multipolar World) โดยเราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจจากสหรัฐฯ ไปเป็นจีนอย่างสมบูรณ์แบบในลักษณะที่จีนจะเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดั่งเช่นสหรัฐฯ เคยขึ้นมาแทนที่สหราชอาณาจักร โดยแทนที่จะเป็นโลกที่มีขั้วอำนาจเดียว (Unipolar) หรือสองขั้ว (Bipolar) โลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นโลกหลายขั้ว (Multipolar World) โดยสหรัฐฯ จะยังคงเป็นมหาอำนาจสำคัญ แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่สหรัฐฯ ยังคงมีจุดแข็งมหาศาล ทั้งในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการทหาร ขณะที่จีนจะยังคงเป็นมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพล ด้วยขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพทางเทคโนโลยี จีนจะยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีโลก แต่การเป็นผู้นำเดี่ยวของโลกนั้นยังเป็นไปได้ยาก เมื่อไม่มีมหาอำนาจใดได้สิทธิ์ขาด โลกจะเห็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับภูมิภาคมากขึ้น เช่น สหภาพยุโรป อาเซียน หรือกลุ่มประเทศในแอฟริกา แต่จะเกิดสงครามรูปแบบใหม่ ทั้งสงครามการค้า เทคโนโลยี ทุน และภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงดำเนินต่อไป และอาจมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเป็นพักๆ การแข่งขันด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเข้มข้นยิ่งขึ้น
ด้วยความไม่แน่นอนของระเบียบโลกใหม่ เศรษฐกิจและการลงทุนโลกจะยังคงอยู่ในสภาวะที่มีความผันผวนสูง การคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงอย่างน้อย 1% (จาก 3.5% เหลือ 2.5%) ดังนั้นแทนที่จะมองหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว เราควรเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คำถามที่สี่: กลยุทธ์องค์กรในประเทศไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลก
ด้วยภาพ Multipolar World ในอนาคต ภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศไทยในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารธุรกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง และกับดักในเชิงการเมือง จะเป็นอย่างไร
เรามองว่าภาพประเทศไทยใน 20-30 ปีข้างหน้า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “Perfect Storm” หรือพายุที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการรวมตัวของปัจจัยท้าทายทั้งภายในและภายนอก:
ปัญหาที่หนึ่ง เศรษฐกิจ: ไทยจะเผชิญกับ (1) กับดักรายได้ปานกลาง การพึ่งพาการผลิตสินค้ามูลค่าต่ำและการส่งออกที่อ่อนแอ ทำให้ไทยยังคงติดกับดักรายได้ปานกลาง การแข่งขันที่รุนแรงจากจีน โดยเฉพาะหลังข้อตกลง RCEP ที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายสำคัญ (2) ผลิตภาพที่ลดลง: ภาคการผลิตสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อัตราการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่ำที่สุดในอาเซียนหลังยุคโควิด (3) ภาระทางการคลัง: การขาดดุลการคลังที่สูงกว่าระดับปลอดภัยและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น จะสร้างแรงกดดันต่อการปฏิรูปภาษี ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น และ (4) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร: สังคมสูงวัยจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการและแรงงาน
ปัญหาที่สอง สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง: โดยไทยจะเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรงขึ้น ได้แก่ (1) ความเหลื่อมล้ำ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจะยังคงเป็นปัญหาสำคัญ (2) ปัญหาสิ่งแวดล้อม: ปัญหา PM 2.5 และความจำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นความท้าทายเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและภาคเศรษฐกิจ (3) กับดักการเมือง: ความขัดแย้งทางการเมือง การขาดเสถียรภาพรัฐบาล และการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว (4) ความท้าทายในการปฏิรูป: การปฏิรูปโครงสร้างประเทศที่จำเป็น เช่น การปฏิรูปภาษีหรือกฎหมายต่างๆ อาจเผชิญกับการต่อต้านทางการเมือง
ภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ ผู้บริหารธุรกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศควรวางแผนเชิงกลยุทธ์ใน 5-10 ปีข้างหน้าผ่านกลยุทธ์ 10 ประการ ดังนี้:
(1) ปรับโครงสร้างธุรกิจและห่วงโซ่อุปทาน โดยลดการพึ่งพิงตลาดเดียว: กระจายตลาดส่งออก ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ หรือจีนมากเกินไป สำรวจตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
(2) กระจายฐานการผลิต: หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาการกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าและนโยบายกีดกันทางการค้า
(3) “Friendshoring” หรือ “Nearshoring”: พิจารณาการลงทุนในประเทศที่เป็นมิตรหรือใกล้เคียงกับตลาดเป้าหมาย เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และลดต้นทุนการขนส่ง
(4) ลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยต้องเลิกพึ่งพาการผลิตสินค้ามูลค่าต่ำ และหันมาลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ
(5) การนำ AI และ Automation มาใช้: เพื่อเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
(6) ลงทุนใน R&D: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมของตนเอง และลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
(7) ให้ความสำคัญกับ ESG และความยั่งยืน โดยธุรกิจจะต้องมีบทบาทในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด และการจัดการขยะทั้งนี้ การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก การที่ธุรกิจไทยให้ความสำคัญกับ ESG จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
(8) เสริมสร้างความสามารถในการปรับตัว (Resilience)โดยต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน: ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงด้านการค้า แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของค่าเงิน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
(9) สร้างความร่วมมือ: หาพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและแบ่งปันความเสี่ยง และ
(10) พัฒนาบุคลากร: ลงทุนในการพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและตลาดแรงงานในอนาคต
โลกในอีก 20 – 30 ปีข้างหน้าจะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความผันผวน แต่ก็มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ การที่ประเทศไทยจะก้าวข้ามกับดักต่างๆ ไปได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว การปฏิรูปโครงสร้างประเทศ และการวางกลยุทธ์เชิงรุกของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผู้บริหารธุรกิจจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวผ่านพายุลูกนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ขอให้นักลงทุน ผู้บริหารองค์กร และผู้อ่านทุกท่านโชคดี
ภาพ: wildpixel / Getty Images
- “CafeInvest” แหล่งรวมข้อมูลการลงทุน และบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX คลิกเลย www.innovestX.co.th/cafeinvest
- กลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึก, งานวิจัยคุณภาพ, ไอเดียการลงทุนสร้างสรรค์, บทความน่าสนใจ อ่านง่าย เข้าใจเร็ว ค้นหาข้อมูลง่าย เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านเว็บและแอป ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เริ่มต้นเส้นทางสู่ความสำเร็จในการลงทุนวันนี้กับ CafeInvest!