ในมุมมองของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีต่อระบบประกันสังคมในประเทศไทยนั้น ผมนำมาสรุปเป็น 10 ข้อสั้นๆ ดังนี้
- ทราบหรือไม่ว่า ทุกๆ 1 บาท ที่เราจ่ายเข้าบัญชีประกันสังคมของตัวเอง เราจะได้เงินเข้าบัญชี “ฟรี” เพิ่มอีก 1.55 บาท ซึ่งมาจากนายจ้างและรัฐบาล
- ถ้าจ่าย 100 บาท แต่ไปเปิดบัญชีของเราดู เราจะเห็นว่ามันจะกลายเป็น 255 บาท เพราะมีนายจ้างและรัฐบาลคอยสมทบเข้าไปให้ โดยนายจ้างใส่เบิลเข้าไปให้เท่ากับสิ่งที่เราใส่เข้าไป และรัฐบาลช่วยให้อีกครึ่งนึง
- ตัวอย่างเช่น ถ้าเราใส่ 750 บาท จริงๆ แล้ว เราจะได้ 1900 กว่าบาท (750 + 750 + 412.5) ซึ่งก็เหมือนเงิน 750 บาทของเรา ถูกคูณขึ้นไปเป็น 2.55 เท่า
- เงินในบัญชีประกันสังคมของเรา จะถูกกระจายออกไปเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือกองทุนเงินบำนาญ ประมาณครึ่งหนึ่ง และ อีกส่วนจะเป็นเบี้ยกินเปล่าประมาณอีกครึ่งหนึ่ง
- เงินบำนาญจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ อายุ 55 ปี ซึ่งถือเป็นอายุที่เริ่มรับบำนาญที่เร็วที่สุดเลยก็ว่าได้ และถ้าส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคมมากกว่า 15 ปีขึ้นไป จะได้รับอัตราบำนาญขั้นต่ำคือ 20% ของค่าจ้าง (ยิ่งใครส่งเงินสมทบนาน ก็ได้เงินบำนาญมาก) และจะจ่ายเงินบำนาญไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ซึ่งก็ถือว่ามีโอกาสได้รับเงินบำนาญยาวนานกว่าหลายประเทศ
- เงินส่วนที่เป็นเบี้ยกินเปล่า หลักๆ แล้วจะมีตั้งแต่ ประกันสุขภาพ รวมไปถึง ประกันว่างงานและค่าเลี้ยงดูบุตร ซึ่งการบริหารจะคล้ายกลไกของบริษัทประกันที่ต้องบริหารต้นทุนและงบประมาณไม่ให้ขาดทุน ส่วนที่ต่างกับบริษัทประกันก็ตรงที่ สำหรับโรคทั่วไปนั้นประกันสังคมจะใช้ระบบ “เหมาจ่ายล่วงหน้า” (ทำให้คุณภาพของการรักษาโรคทั่วไปสู้ประกันสุขภาพแบบอื่นไม่ได้) แต่สำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงนั้นจะยังจ่ายตามจริง (ทำให้หลายคนรู้สึกคุ้มในตรงนี้มากกว่า)
- ในภาพรวมแล้ว ถ้าเราจ่ายเบี้ยประกันสังคม เดือนละ 750 บาท ตั้งแต่ก่อนอายุ 40 ปี และปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันให้สะสมในบัญชีของกองทุนประกันสังคมไป (ถึงแม้จะมีเบี้ยกินเปล่าที่อาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ตาม) รอรับเงินบำนาญตอนอายุ 55 ปี และรับต่อเนื่องซัก 10 ปี ซึ่งถ้ามองในมุมของการลงทุน 750 บาทต่อเดือนของเราแล้ว เราจะได้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อ ปีเลยทีเดียว (ในบางอายุเหมือนได้เฉลี่ย 12% ต่อปี)
- ความแตกต่างของประกันสังคมในประเทศไทย คือ เราจะเห็นว่า ประเทศไทยเริ่มจ่ายเงินบำนาญตั้งแต่อายุที่น้อยกว่าประเทศอื่น และพอเริ่มจ่ายก็จะจ่ายนานไปตลอดชีวิต ทำให้ตอนเก็บเงินเข้ากองของแต่ละคนมีระยะเวลาเก็บไม่มาก แต่ไม่มีเพดานในการจ่ายออกเลย เพราะยิ่งส่งเงินสมทบมานานแค่ไหน ประกันสังคมก็จะจ่ายบำนาญเยอะมากทวีคูณเท่านั้น
- พอคำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยแล้ว ก็ไม่แปลกใจเลยว่า ถ้าปล่อยไว้ในแบบที่เป็นอยู่อย่างนี้ กองทุนบำนาญของประกันสังคมจะหมดภายในไม่เกิน 30 ปีข้างหน้าแน่นอน ซึ่งทางแก้ก็คือทำให้สูตรประกันสังคมของเราเหมือนกับประเทศอื่นๆ เช่น ปรับอายุเกษียณให้เพิ่มขึ้น (ไม่เริ่มจ่ายตั้งแต่ อายุ 55 ปี) และทำเพดานในขารับเงินกับขาจ่ายเงินให้มันสอดคล้องกัน เป็นต้น
- เราไม่จำเป็นต้องแก้ทุกอย่างในตอนนี้ แต่ควรมีการแจ้งหลายปีล่วงหน้าในการปรับให้นานเพียงพอ เช่น ในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น จะมีนักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาคำนวณและประกาศล่วงหน้า ทุก 3 – 5 ปี ว่าจะขยายอายุเกษียณไปทีละนิดเท่าไร ด้วยเหตุผลที่เหมาะสม (โดยจะใช้กับคนที่อีกนานกว่าจะได้รับบำนาญ ไม่ใช่มาใช้กับคนที่กำลังจะได้บำนาญแล้ว) ซึ่งตอนนี้ ประเทศเหล่านั้น นิยามอายุเกษียณของประกันสังคมกันเกิน 65 ปี กันไปแล้ว ยังเหลือประเทศไทยที่ อายุเกษียณ คือ 55 ปี ในนิยามของกองทุนประกันสังคม
หากพิจารณาจาก 10 ข้อข้างต้น จะเห็นว่าการจ่ายเงินเข้าประกันสังคมนั้นคุ้มค่า แต่ในระยะยาวกลายเป็นภาระที่ทำให้กองทุนไม่มีเงินจ่ายเพียงพอ ปัญหาหลักๆ คือ (1) อายุเกษียณที่ต่ำเกินไป และ (2) ความไม่สมดุลระหว่างระยะเวลาเก็บเงินสมทบกับการจ่ายเงินบำนาญออก ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศแล้ว
ในมุมมองของคณิตศาสตร์ประกันภัย วิธีแก้ไขที่เหมาะสมคือ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกติกาใหม่ และ สื่อสารให้ทุกฝ่ายเข้าใจ โดยแบ่งแนวทางแก้ไขตามกลุ่มช่วงอายุของผู้ประกันตน เช่น
- ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระบบ อาจต้อง เลื่อนอายุเกษียณออกไปนานขึ้น
- ผู้ที่จ่ายเงินสมทบมานานแล้ว ไม่ควรได้รับผลกระทบมาก
แนวทางนี้ต้องทำแบบ ค่อยเป็นค่อยไป และ สื่อสารล่วงหน้าให้ชัดเจน เพื่อให้เกิด ความเป็นธรรมกับผู้ประกันตนทุกกลุ่ม
ภาพ: PhotoAlto / Frederic Cirou / Getty Images