พฤติกรรมของนักลงทุนและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งที่นักวิชาการจำนวนมากได้ศึกษามายาวนาน และได้สร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมากมาย หลายทฤษฎีก็เปลี่ยนโลกของการลงทุนไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น ทฤษฎี ‘ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ’ หรือ ‘Efficient Market Hypothesis’ ที่บอกว่าตลาดหุ้นนั้นเก่งมาก มีความสามารถในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้เหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงของมัน ดังนั้น การที่มีนักลงทุนรวมถึงเซียนหุ้นมาคุยว่า สามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานและขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริงในระยะยาว
แต่ในระยะสั้นก็อาจทำได้เพราะฟลุก แล้วก็เก็บมาคุยโม้จนคนคิดว่าเป็นเซียน แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบว่า เขาไม่ได้กำไรมากกว่าผลตอบแทนปกติของตลาด ซึ่งระยะยาวให้ผลตอบแทนทบต้นที่ประมาณ 10% ต่อปี เพราะปีต่อๆ มาเขาอาจขาดทุนหรือกำไรน้อยกว่าที่เคยทำได้ แต่ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่ออกมาพูดแล้ว คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นเซียน Yesterday ไปแล้ว ยังติดภาพว่าเป็นเซียนอยู่
แต่นักวิชาการซึ่งเป็นคนที่ค้นหาความจริงก็จะต้องตามดูว่ามีคนที่เป็นเซียนจริงๆ หรือเปล่าในระยะยาว โดยการตั้งทฤษฎีแล้วก็พิสูจน์ ซึ่งก็พบว่าในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพจริง ไม่มีใครเก่งกว่าตลาดได้จริงๆ (อาจยกเว้นกรณีของบัฟเฟตต์) ดังนั้น คำแนะนำก็คือ นักลงทุนไม่ควรเลือกหุ้นเอง แต่ควรลงทุนในกองทุนรวมที่อิงกับดัชนีตลาด ซึ่งจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด เพราะไม่ต้องเสียค่าบริหารกองทุนสูงอย่างกองทุนที่เลือกหุ้นลงทุนโดยเซียน และนั่นก็ทำให้โลกของการลงทุนในสหรัฐฯ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คนส่วนใหญ่เลือกลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีแทนการเลือกหุ้นลงทุนด้วยตนเองหรือลงทุนในกองทุน Active Fund
ผมพูดมายาว แต่สิ่งที่จะพูดในบทความต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีหุ้นแบบชาวบ้าน’ ที่ไม่เคยหรือไม่มีการพิสูจน์ แต่เป็นเรื่องที่คุยกันในวงการนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนที่เป็นนักปฏิบัติที่อาจไม่ได้สนใจและไม่ได้เชื่อในทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ แต่เป็นความคิดหรือทฤษฎีที่อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับนักลงทุน หุ้น และตลาดหุ้นได้ดี ลองมาดูกัน
เรื่องแรกก็คือ พฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อย ที่เขาพูดว่ามีความแตกต่างจากนักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ที่เป็นรายใหญ่ ถ้าเป็นในตลาดหุ้นอย่างสหรัฐฯ ก็จะมีทฤษฎีที่ว่า รายย่อยเป็นนักลงทุนที่ไม่มีเหตุผลหรือข้อมูลในการลงทุน และมักจะเป็นหมูในตลาดที่จะถูกเชือด ดังนั้น ถ้าช่วงไหนนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายหรือเล่นหุ้นในตลาดมากกว่าปกติด้วยความโลภ ก็จงเตรียมไว้ได้เลยว่าเดี๋ยวหุ้นจะร่วง ดัชนีตลาดหุ้นจะตกลงมา
ในตลาดหุ้นไทย เราถึงกับมีคำเรียกนักลงทุนกลุ่มนี้ว่า ‘เม่า’ หรือ ‘แมลงเม่า’ และคาดการณ์ได้เลยว่าในไม่ช้าก็จะขาดทุนหุ้นหนักและตาย คือหนีออกจากตลาดหุ้น อาการของแมลงเม่าก็คือ ทุกครั้งที่เห็นไฟ ซึ่งในตลาดหุ้นก็คือสตอรีต่างๆ ที่ถูกจุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมาจากสถานการณ์หรือนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาเล่นหรือปั่นหุ้น แมลงเม่าหรือนักลงทุนรายย่อยก็จะกรูกันเข้ามาเล่น ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นร้อนแรงเหมือนไฟ แต่รายย่อยก็ไม่กลัวและกลับเข้ามาเล่นเพิ่ม แต่แล้วก็ถูกไฟเผา นั่นคือหุ้นตกลงมาอย่างหนักจนคนเล่นแทบจะเป็นหายนะ
ทฤษฎีชาวบ้านอีกเรื่องหนึ่งก็คือทฤษฎี ‘งานเลี้ยงค็อกเทล’ ของ ปีเตอร์ ลินช์ อดีตผู้บริหารกองทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งบอกว่าถ้าคนทั่วไปในงานเลี้ยงแบบค็อกเทลไม่สนใจหุ้นเลย เห็นได้จากการที่เมื่อทักทายกับเขาซึ่งเป็นเซียนหุ้นที่บริหารกองทุนรวม แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องหรือหนีจากไป นั่นก็แปลว่าตลาดหุ้นกำลังจะขึ้น
แต่ถ้าช่วงไหนเริ่มมีคนคุยอ้อยอิ่งนานขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่รู้ว่าเขาทำงานอะไร นั่นก็แปลว่าตลาดเริ่มปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 15% แต่ถ้าในกรณีต่อมาซึ่งตลาดปรับตัวขึ้นไปแล้ว 30% คนก็จะเริ่มมารุมล้อมเขา อาจจะเป็น 10 คน และคนเริ่มถามว่า “หุ้นตัวไหนดี”
ช่วงสุดท้ายก็คือ ถ้าคนเริ่มรุมล้อมเขามาก และบางคนก็เริ่มแนะนำเขาว่าหุ้นตัวไหนดี น่าสนใจ นั่นก็คือเวลาที่คนจำนวนมากสนใจและเข้าไปถือหุ้นเต็มที่เพราะหุ้นบูมจัด ทุกคนพูดกันถึงเรื่องหุ้น นั่นก็คือเวลาที่ตลาดหุ้นขึ้นไปสูงสุดและใกล้จะตกลงมาอย่างแรงแล้ว
ในตลาดหุ้นไทยเองก็จะมีการดัดแปลงว่า ถ้านั่งแท็กซี่แล้วคนขับชวนคุยเกี่ยวกับหุ้น และบางทีก็แนะนำหุ้นเด็ดให้เราด้วย หรือบางทีก็เป็นช่างตัดผมหรือช่างเสริมสวยที่ปกติไม่น่าจะสนใจการลงทุน แต่กลับชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องหุ้น และอาจบอกได้ด้วยว่าหุ้นตัวไหนดี นั่นก็เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังพีคและใกล้ที่จะตกลงมาอย่างแรงแล้ว
ทฤษฎีเรื่องต่อมาที่อาจไม่ได้เกี่ยวกับนักลงทุนรายย่อยโดยตรง แต่มักจะทำให้นักเล่นหุ้นทั่วไปรวมถึงรายใหญ่บาดเจ็บอย่างหนักก็คือ สิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ ซึ่งพูดสั้นๆ ก็บอกว่า “ถ้าเราเห็นแมลงสาบตัวหนึ่งอยู่แถวห้องครัว ก็จงเชื่อเถอะว่ามันยังมีแมลงสาบอีกหลายตัวที่ซ่อนอยู่ และจะโผล่ออกมาเรื่อยๆ”
ความหมายก็คือ เมื่อเกิดเรื่องฉาวโฉ่หรือการฉ้อฉล หรือสิ่งที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมจรรยา ซึ่งรวมถึงการบริหารงานบริษัท การซื้อขายหุ้น การใช้ข้อมูลเอาเปรียบผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุน การสร้างสตอรีที่เกินความเป็นจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เดิมทีบุคคลภายนอกก็ไม่รู้ แต่แล้วจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เรื่องเลวร้ายหรือเรื่องที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้น บางเรื่องอาจเป็นอุบัติเหตุ แต่หลายเรื่องก็เป็นเพราะสถานการณ์ภายนอกที่ไม่เอื้ออำนวยมาก เช่น หุ้นทั่วไปรวมถึงตลาดหุ้นโลกตกต่ำลงมา นั่นทำให้คนทั่วไปเริ่มเห็นสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของผู้บริหาร ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงเหมือนแมลงสาบตัวหนึ่งที่โผล่ออกมา
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น แทบจะทุกครั้งก็จะมีคนมาบอกและยืนยันว่าเรื่องนั้นจบแล้ว และไม่มีสิ่งที่เลวร้ายอื่นๆ อีก พูดง่ายๆ มีแมลงสาบเพียงตัวเดียวและเรากำจัดมันไปแล้ว แต่ตามทฤษฎีแมลงสาบนั้นบอกว่า จะยังมีแมลงสาบอีกหลายตัวมากที่ซ่อนอยู่ และในที่สุดมันก็จะโผล่ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนกว่าเราจะกำจัดมันได้หมดจริงๆ
ทฤษฎีแมลงสาบนั้น แม้ว่าจะไม่มีนักวิชาการมาพิสูจน์เป็นเรื่องราว ผมคิดว่ามีความถูกต้องมาก แค่คิดถึงเหตุการณ์ฉาวโฉ่ใหญ่ๆ ของบริษัทขนาดยักษ์ในโลกที่ผ่านมาก็น่าจะคาดได้ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงแน่นอน เหตุผลก็คือ ถ้ามีบริษัทไหนที่ใช้กลโกงบางอย่างได้สำเร็จโดยที่คนภายนอกไม่รู้หรือไม่ตระหนัก ผู้บริหารหรือคนภายในบริษัทก็จะเริ่มหากลโกงอื่นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนขึ้นอีก หรือไม่ก็ต้องหากลโกงอื่นเพื่อมาปิดบังกลโกงเดิมให้อยู่ต่อไปให้นานที่สุด และนั่นก็คือแมลงสาบที่ขยายพันธุ์ขึ้นเป็นฝูงโดยที่คนภายนอกไม่รู้เลย จนถึงวันหนึ่งที่แมลงสาบตัวหนึ่งถูกขุดพบหรือเผลอโผล่ขึ้นมา
ทฤษฎีแมลงสาบมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมหรือหุ้นบางกลุ่มบูมขึ้นมา ซึ่งมักจะก่อให้เกิดความโลภของคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบุคคลภายในบริษัทที่จะเห็นโอกาสรวยและรวยมากอย่างง่ายๆ โดยการสร้างสตอรี ปั้นตัวเลข สร้างรายได้และกำไรเทียม ไซฟอนเงินจากบริษัท ทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น ร่วมมือกับนักลงทุนรายใหญ่ในการทำราคาหุ้น และร่วมมือกับสื่อต่างๆ สร้างกระแสในด้านที่ดีๆ ทั้งหลายต่อสังคมและโดยเฉพาะต่อนักลงทุน
เกือบจะแน่นอนว่าสิ่งที่ไม่จริงหรือไม่ยั่งยืนที่ถูกสร้างขึ้นนั้น ในที่สุดมันก็ไม่ยั่งยืนภายในเวลา 3-4 ปี หรืออย่างสูงก็ไม่น่าจะเกิน 6-7 ปี รอยปริก็มักจะเกิดขึ้น และจะค่อยๆ ลามจนแตกในที่สุด บริษัทพลังงานขนาดยักษ์อย่าง Enron ที่มีกิจการทั่วโลก และมีผลการดำเนินงานสุดยอด ซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปที่ราคาประมาณ 90 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2000 ตกลงมาเหลือเพียง 1 ดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน 2001 เมื่อมีการค้นพบเรื่องราวฉาวโฉ่ที่ถูกซุกซ่อนมายาวนาน
Enron ล้มละลาย และกลายเป็นการล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในช่วงนั้น เช่นเดียวกับบริษัทผู้สอบบัญชีระดับท็อป 5 ที่ต้องปิดตัวลงเพราะทำงานผิดพลาดอย่างแรง ผู้บริหารสูงสุดของ Enron ติดคุกและบางคนก็ตายก่อนถูกตัดสิน หลังจากนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกกฎหมายหลายฉบับ ส่วนหนึ่งเพื่อปฏิรูประบบการรายงานทางการเงินที่จะทำให้เกิดความเที่ยงตรงและโปร่งใส และความรับผิดชอบของผู้ตรวจสอบบัญชี
เขียนถึงจุดนี้ ผมเองก็เกิดความรู้สึกว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็วๆ นี้ดูเหมือนว่าแมลงสาบเริ่มโผล่ออกมาเรื่อยๆ ในหลายๆ แห่ง นี่ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี และอาจเป็นจุดที่ทำให้ตลาดหุ้นเกิดความโกลาหล และความหวังที่จะเห็นหุ้นฟื้นตัวในเร็วๆ นี้อาจลดน้อยลง
อ้างอิง: