×

กลยุทธ์ส่งต่อทรัพย์สิน ฉบับประหยัดภาษีการรับให้

17.11.2023
  • LOADING...

เมื่อเดือนกันยายน 2566 หลายท่านอาจจะได้รับทราบข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสรรพากรกลับมาทบทวนการเก็บภาษีการรับมรดก เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยกรมสรรพากรอาจพิจารณาในเรื่องของการปรับลดฐานภาษีการรับมรดก ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บสำหรับส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท การจัดประเภททรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษีการรับมรดก และเรื่องของคู่สมรสที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (รายละเอียดของภาษีการรับมรดกท่านสามารถติดตามได้ในบทความ ‘ส่งต่อมรดกแบบมีกลยุทธ์ ไม่ทิ้งภาระภาษีให้ลูกหลาน’)  

 

ในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียภาษีจะต้องติดตามและปรับตัว เพื่อที่จะบริหารภาษีของตนเองรวมทั้งส่งต่อความมั่งคั่งให้แก่รุ่นต่อไปอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งในอนาคตหากมีการแก้ไขกฎหมายภาษีการรับมรดกโดยการปรับลดฐานภาษีให้ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ก็อาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งอย่างมากทีเดียวครับ ในกรณีนี้ท่านก็อาจพิจารณาส่งต่อความมั่งคั่งโดยการให้ ซึ่ง ‘การให้’ แตกต่างจากการส่งต่อมรดกอย่างไรนั้น คือการให้เป็นการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่ผู้รับในขณะที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่การส่งต่อมรดกจะเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินได้เสียชีวิตไปแล้ว มรดกจึงถูกส่งต่อไปยังทายาทตามผลของกฎหมายหรือตามพินัยกรรม ซึ่งสองหลักการนี้จะมีหลักการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ในเรื่องของการให้ทางกฎหมายก็จะมีภาษีการรับให้ (Gift Tax) ที่จะจัดเก็บจากทรัพย์สิน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

 

1. อสังหาริมทรัพย์ 

 

อสังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมายคือทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ในกรณีนี้ก็คือที่ดิน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน โดยกฎหมายกำหนดให้ ‘ผู้ให้ (ผู้โอน)’ อสังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งได้ 2 กรณี ดังนี้

 

1.1 บิดาหรือมารดาให้อสังหาริมทรัพย์แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย

กรณีราคาประเมินของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อบุตรหนึ่งคนต่อปีภาษี ผู้ให้จะไม่มีภาระภาษีการรับให้ที่จะต้องเสียแต่อย่างใด แต่ถ้าหากราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเกิน 20 ล้านบาท ผู้ให้จะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทในอัตรา 5% 

 

1.2 กรณีอื่น 

กรณีที่เป็นการให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็จะไม่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายใดๆ ผู้ให้จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5-35% 

 

2. สังหาริมทรัพย์ 

 

สังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมายก็คือทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น หุ้น พันธบัตร หน่วยลงทุนกองทุนรวม เงินสด รถยนต์ เครื่องประดับ โดยกฎหมายกำหนดให้ ‘ผู้รับ’ สังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งได้ 3 กรณี ดังนี้

 

2.1 การให้ระหว่างบุพการี (บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด) และผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ) หรือการให้ระหว่างคู่สมรส

การให้ในกรณีนี้ผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี โดยเสียภาษีในอัตรา 5% ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำแนะนำจากที่ปรึกษาในด้านการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งที่จะแนะนำให้ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการภาษีการรับให้ 

 

โดยการจะดูว่าเกิน 20 ล้านบาทหรือไม่นั้น กฎหมายจะให้ดูที่ตัวผู้รับ ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อได้ให้เงินแก่นาย ก. ซึ่งเป็นลูก ไปแล้ว 18 ล้านบาท และในปีเดียวกันคุณปู่ได้ให้เงินแก่นาย ก. อีก 10 ล้านบาท ในกรณีนี้นาย ก. จะถือว่าได้รับสังหาริมทรัพย์จากบุพการีทั้ง 2 ท่านคือคุณพ่อและคุณปู่ 28 ล้านบาท ในตัวอย่างนี้นาย ก. จะเสียภาษีเท่ากับ 400,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 8 ล้านบาท โดย 8 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทนั่นเอง 

 

2.2 การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา หรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งธรรมเนียมประเพณี

สำหรับกรณีนี้จะไม่ได้กำหนดตัวผู้รับและผู้ให้เหมือนอย่างกรณี 2.1 แต่จะดูตามวาระโอกาสหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา โดยผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษี ในอัตรา 5% 

 

ยกตัวอย่างเช่น ในงานแต่งงานของหลาน คุณลุงซึ่งไม่ถือว่าเป็นบุพการี ได้ให้เงิน 6 ล้านบาท และให้ทองมูลค่า 5 ล้านบาทแก่หลาน ในตัวอย่างนี้หลานจะต้องเสียภาษีเท่ากับ 50,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 1 ล้านบาท โดย 1 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท หากเปลี่ยนผู้ให้เป็นคุณย่าซึ่งเป็นบุพการี ให้สังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแก่หลาน ในกรณีนี้จะเข้าตามข้อ 2.1 ตามรายละเอียดข้างต้น หลานจึงไม่ต้องเสียภาษีการรับให้เพราะสังหาริมทรัพย์ที่หลานได้รับไม่เกิน 20 ล้านบาท 

 

2.3 กรณีอื่น

กรณีที่ไม่เข้าข้อ 2.1 และ 2.2 ผู้รับก็จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5-35% 

 

 

หากท่านมีความสนใจในเรื่องของการส่งต่อโดยการให้ นอกเหนือจากภาษีการรับให้แล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น อากรแสตมป์ที่จะต้องปิดสำหรับสัญญาโอนหุ้น กรณีที่มีการให้หุ้นแก่ผู้รับสังหาริมทรัพย์ หรืออากรแสตมป์และค่าธรรมเนียมการโอนอันเกิดจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีทีมที่ปรึกษาที่ให้คำแนะนำด้านการส่งต่อทรัพย์มรดก/ความมั่งคั่งสำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth ซึ่งรวมถึงเรื่องภาษีการรับให้และภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารมีความมั่นใจว่าจะสามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืนครับ รวมทั้งหน่วยงานยังได้ร่วมมือกับสำนักงานกฎหมายชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของธนาคาร เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า Wealth ในด้านการทำพินัยกรรม, การจัดตั้ง Family Holding Company, การจัดโครงสร้างการประกอบธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจครอบครัว และการทำธรรมนูญครอบครัว 

 

ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล [email protected] หรือติดต่อที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X