ทิศทางของเงินดอลลาร์อ่อนสลับแข็งและผันผวนไปมาในช่วงนี้ทำให้ทั้งนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบาย ต่างตั้งคำถามไปพร้อมกันว่า ต่อจากนี้ดอลลาร์ควรมีทิศทางอย่างไรกันแน่
ผมมองว่า ‘เรื่องราว’ ของดอลลาร์มีมากกว่าปกติ ทั้งเหมือนและต่างกับช่วงเวลาทั่วไปในหลายมิติ ผมจึงรวบรวมเรื่องราวที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ นำมาจัดกลุ่ม วิเคราะห์ให้นักลงทุนทุกท่านได้เข้าใจผลกระทบต่อทิศทางของดอลลาร์ เพื่อตัดสินใจไปพร้อมกันว่า อะไรกันแน่คือเหตุผลที่ดอลลาร์ควรแข็งหรืออ่อนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
1. เศรษฐกิจโลก: ปกติโลกเติบโตดี ดอลลาร์จะแย่ แต่ครั้งนี้ไม่แน่
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนในอดีต มักชี้ว่ามูลค่าของดอลลาร์มีความสัมพันธ์เชิงลบกับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจนอกสหรัฐฯ
เช่นในปี 2002-2003 และ 2019 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนให้ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนดี นักลงทุนจึงโยกเงินออกจากดอลลาร์ไปหาตลาดอื่น ส่งผลให้ดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่า ในทางกลับกัน ช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา หุ้นมักเข้าสู่ตลาดหมี หนุนให้นักลงทุนกลับมาถือดอลลาร์
ในครั้งนี้ ผมมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ฟื้นตัวขึ้นจนกดดันดอลลาร์ เนื่องจากมีนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่โดดเด่น
2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ: แข็งแกร่งแต่กำลังมีความเสี่ยงจาก Shutdown
ความสัมพันธ์นี้เป็นส่วนกลับของเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าโลก สินทรัพย์ในสหรัฐฯ มักทำผลตอบแทนดีกว่า หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า
ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2025 ถือว่าดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี หลังจากมีปัญหา Government Shutdown ภาพความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจก็เริ่มแย่ลง หมายความว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ใช่แรงกดดันตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่แรงหนุน ถ้าการเมืองยังไม่ปกติ
3. นโยบายการเงิน: การลดดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์ในระยะยาว
ความคาดหวังของนโยบายการเงิน มักส่งผลต่อทิศทางดอลลาร์ระยะสั้น ขณะที่ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับทั่วโลกส่งผลต่อมูลค่าพื้นฐานระยะยาว
หมายความว่า ในระยะสั้นนโยบายการเงินอาจเป็นแรงหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากตลาดคาดไปก่อนแล้วว่า Fed จะปรับดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 50 bps ในไตรมาสที่สี่
อย่างไรก็ดี ถ้ามองในระยะยาว Fed ต้องลดดอกเบี้ยไปสู่จุดสมดุลใหม่ราว 3.00-3.50% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกต่ำกว่าสหรัฐฯ นโยบายการเงินจึงยังคงเป็นประเด็นกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงได้อยู่ในอนาคต
4. ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ: ฉุดดอลลาร์อ่อน
ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ จะอ้างอิงสองปัจจัยหลักคือ คาดการณ์ผลตอบแทนของตลาดหุ้น และระดับบอนด์ยิลด์
นักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในสหรัฐฯ มากที่สุดเมื่อหุ้นเป็นขาขึ้น พร้อมกับยีลด์สูง ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นในช่วงปี 2024 หนุนค่าเงินดอลลาร์ได้
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในช่วงที่ Valuation แพง ส่วนบอนด์ยิลด์ก็มีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ภาพความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ต่อจากนี้จึงเป็นแรงกดดันมากกว่าแรงหนุนสำหรับดอลลาร์
5. การเมืองสหรัฐฯ: ความไม่แน่นอนทำให้ความสัมพันธ์ขาดช่วง
ในอดีต ดอลลาร์มักแข็งค่าเมื่อนโยบายเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่ในช่วงปี 2025 ทิศทางดอลลาร์กลับไม่ตอบสนองต่อความผันผวนของนโยบายการค้า หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองเหมือนในอดีต
อาจเป็นเพราะผลกระทบของนโยบายการเมืองมีความซับซ้อน ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านนโยบายกับตลาดการเงินไม่ชัดเจน เช่นนโยบายการค้าอาจหนุนดอลลาร์แข็ง แต่มุมมองของ Trump กลับสนับสนุนดอลลาร์อ่อน ทำให้ตลาดเลือกที่จะจับตาประเด็นอื่นเป็นหลักมากกว่า
6. Momentum ของดอลลาร์: ขาลงที่นานเกินไปหนุนดอลลาร์ฟื้นตัว
แนวโน้มการแข็งและอ่อนค่าของดอลลาร์จะมีทั้งรูปแบบ Momentum ระยะกลาง (3-6 เดือน) และ Reversal ในระยะสั้น (1 เดือน)
ต้นไตรมาสที่สี่ ดอลลาร์เข้าสู่โหมด Reversal สาเหตุเกิดจากดอลลาร์ที่อ่อนค่ามานาน พบกับความไม่แน่นอนของการเมืองยุโรปและญี่ปุ่น ประเทศเจ้าของสองสกุลเงินใหญ่อย่างยูโร (EUR) และเยน (JPY)
อย่างไรก็ดี การกลับตัวจากเหตุผลทางเทคนิค มักเป็นประเด็นที่ตลาดสนใจเพียงในระยะสั้น ส่วนระยะยาวต้องติดตามว่านโยบายเศรษฐกิจหรือการเงินนอกสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
7. โครงสร้างของดอลลาร์: ส่วนใหญ่มีผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าจริง แต่ทั้งหมดมักใช้เวลานาน
สิ่งที่เราได้ยินบ่อยครั้งในช่วงนี้ คือประเด็นโครงสร้างและสถานะที่เปลี่ยนไปของดอลลาร์ เช่น De-Dollarization การลดขาดดุลด้วยกำแพงภาษี หนี้สหรัฐฯ ที่สูงเกินไป จนถึงความเป็นอิสระของ Fed ที่อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าในระยะยาว
แต่เหตุผลทางโครงสร้างเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวที่ส่งผลเพียงเล็กน้อยในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ก็มักมีความเร่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ตลาด ต้องรอความต่อเนื่องในอนาคตอีกมาก
โดยสรุป 7 ปัจจัยข้างต้นกำลังบอกเราว่า การแข็งค่าของดอลลาร์ช่วงนี้อาจยังไม่ใช่ ‘จุดเปลี่ยนทิศ’ แต่ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์ก็อาจไม่อ่อนค่าตลอดไปเช่นกัน
ในมุมมองของผม นโยบายการเงินจะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ อย่างน้อยไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2026 แต่เมื่อไหร่ที่สหรัฐฯ หลุดพ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ หรือฉกฉวยโอกาสเติบโตจากเทคโนโลยีได้มากกว่าทั่วโลก เมื่อนั้น ดอลลาร์ก็มีโอกาสจะกลับไปแข็งค่าอีกครั้งครับ
ภาพ: Hiroshi Watanabe / Getty Images