ผู้ผลิต และผู้ค้าอัญมณีระดับต้นของโลก ชื่อ ‘ปรีดา เตียสุวรรณ์’ คหบดีผู้เป็นปิยะมิตรของคนจนและผู้รักความเป็นธรรม พูดกับใครต่อใครมาแล้วว่า
“ก่อนหน้านั้น อำนาจรัฐและทุนใหญ่ครอบงำเหนือธุรกิจขนาดกลาง มายาวนาน ทั้งโดยเปิดเผยและซ่อนรูป ถ้าไม่มีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ธุรกิจแพรนด้า จิวเวลรี่ของผมไม่มีทางเติบโตขึ้นมาได้ถึงวันนี้”
ดุจเดียวกับนายห้างเจ้าของสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดคนหนึ่งพูดกับ อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ว่า “14 ตุลา 16 ทำให้ธุรกิจสรรพสินค้าของผมปลดล็อก เป็นอิสระ ขยายตัวได้อย่างเต็มที่ เพราะพ้นจากพันธนาการของภาครัฐ”
นี่เป็นเพียงมิติเดียวของภาคธุรกิจ ที่สะท้อนถึงผลพวงของเหตุการณ์ 14 ตุลา 16
ไดอารี่ฉบับพกพาปี 2566 ของมูลนิธิเด็ก มีข้อเขียนของ สันติสุ โสภณศิริ บันทึกไว้ว่า
“แม้ไม่สามารถทำลายระบอบเผด็จการได้ นอกจากขับไล่ 3 ทรราชออกไป แต่ก็สามารถสร้างรุ่งอรุณแห่งหลักการสิทธิเสรีภาพให้ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 อย่างเต็มภาคภูมิ นั่นคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 หมวด 3 สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 27-53 ซึ่งแทบจะถอดมาจากหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อันเป็นต้นแบบของรัฐธรรมนูญที่เป็oประชาธิปไตยฉบับต่อๆ มา และสิ่งที่ได้มาจากหลักสิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2517 ก็คือ การปลดปล่อยประชาชนออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมแบบอภิสิทธิ์ชนส่วนน้อยกับชนผู้ไร้สิทธิส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรากเหง้าของความเหลื่อมล้ำ ก่อให้เกิดคลื่นความขัดแย้งทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจระลอกแล้วระลอกเล่าไม่จบสิ้น มีแต่สัมพันธภาพใหม่ ที่สมาชิกในสังคมทุกคนเป็นเสรีชน ภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญ ตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของวีรชน 14 ตุลา เท่านั้น จึงจะสามารถสร้างภราดรภาพในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์เดือนตุลา 16 ถึงขั้นเป็น ‘การปฏิวัติตุลาคม 2516’ แต่มิได้เป็นการปฏิวัติ ในความหมายโดยทั่วไปที่เป็นเรื่องของการยึดอำนาจการปกครองหรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตรงกันข้าม ‘การปฏิวัติตุลาคม 2516’ เป็นขบวนการประชาธิปไตยของมหาชนที่มิได้เรียกร้องต้องการอะไรมากไปกว่าการได้มาซึ่งประชาธิปไตยของประชาชน อย่างสันติวิธี มิใช่ประชาธิปไตยของเผด็จการดังที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการของทหารหรือ เผด็จการของกลุ่มธุรกิจการเมืองก็ตาม นี่คือ จิตวิญญาณของขบวนการปฏิวัติตุลาคม 2516”
จะประเมินค่า 14 ตุลา 16 อย่างไร คงยังเป็นประเด็นถกเถียงกันต่อไปไม่รู้จบ อันที่จริงก็ไม่ควรมีจุดจบในการประเมินคุณค่า เพราะเป็นเรื่องต่างมุมมอง ไม่มีใครจะห้ามความคิดคนอื่นได้ ทุกคนล้วนสวมแว่นสีด้วยกันทั้งนั้น จะกล่าวโทษกันไปกันมาก็ไร้ประโยชน์ และไม่ว่าใครก็ไม่ควรเป็นผู้พิพากษาประวัติศาสตร์
บางคนว่าเหตุการณ์นั้น เพียงทำให้ผู้มีอำนาจ 3 คน ต้องบินหนีออกนอกประเทศ บางคนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทุกอย่างยังคงเดิม บางคนชี้ว่า เห็นไหมเอาเข้าจริง ก็ไม่สามารถเผด็จอำนาจทหารได้จริง เพราะทหารยังทำรัฐประหารตามมาอีกหลายครั้ง ในรอบ 52 ปีมานี้
คำถามคือ ใช่หรือไม่ว่า 14 ตุลา 16 ได้ทำให้การเมืองที่เคยผูกขาดอยู่กับชนชั้นนำไม่เกิน 3,000 คน กลายมาเป็นการเมืองของภาคประชาชน อย่างมีนัยสำคัญ
การเมืองเดิมแบบทุบโต๊ะจากบนลงล่าง โดยไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมใช้ไม่ได้อีกต่อไป
แม้การเมืองภาคตัวแทน (Representative Democracy) ที่ถือเอาการเลือกตั้ง 4 ปีครั้งเป็นสรณะแต่เพียงอย่างเดียว ก็ไม่สามารถเดินหน้าไปด้วยดีได้ เพราะประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) ได้ช่วงชิงพื้นที่สาธารณะขึ้นมามหาศาลอย่างไม่อาจถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว
จริงอยู่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นหลายหน แต่ใช่ว่าผู้มีอำนาจจากรัฐประหารนั้น จะสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จได้ดังแต่ก่อน รัฐประหาร รสช. เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 จึงต้องอาศัยใบบุญของ อานันท์ ปันยารชุน ที่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย และเป็นตัวของตัวเอง มาเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐประหารของ คสช. เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แม้จะได้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องปรับตัวแปลงตน และต้อนรับทิศทางประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิเสียงและพื้นที่สาธารณะของประชาชน ดังที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับ นับตั้งแต่ฉบับ 2517 จนถึง ฉบับ 2560 ได้รับรองสิทธิเสรีภาพไว้
ก็ดุจดังวาทะของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ให้ข้อคิดไว้ว่า “ประเทศไทยเรานี้ อย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลยที่ล้มลุกคลุกคลาน เพราะว่าในความเป็นจริง เผด็จการก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน”
ด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ทุกฉบับ นับแต่ฉบับ 2517 เป็นต้นมา ทำให้คนไทยทุกระดับมีศักดิ์ศรีขึ้นมาเสมอหน้า คนมียศถาบรรดาศักดิ์ และชนชั้นนำได้
ใครเลยจะคาดคิดว่า คนอย่าง แม่สมปอง เวียงจันทร์ ผู้นำชาวบ้านกรณีเขื่อนปากมูล สามารถนั่งบนโต๊ะเจรจาในระนาบเดียวกันกับนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล
ทำไมเขื่อนแม่วงก์ เขื่อนแก่งเสือเต้น ที่รัฐบาลหมายจะสร้าง จึงสร้างไม่ได้ ทำไมนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จึงถูกรัฐบาลสั่งชะลอโครงการไว้ก่อนจนกว่าจะทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) แม้แต่โครงการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี และโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ก็ยากจะดำเนินไปได้ ในขณะที่ประชาชนในพื้นถิ่นผู้เป็นเจ้าของชุมชนไม่อาจยอมให้กับโครงการดังกล่าว
นี่คืออำนาจของประชาชนที่สามารถสร้างพื้นที่ต่อรองทางการเมืองขึ้นมาได้ ในนโยบายสาธารณะ ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองเรื่องสิทธิชุมชนไว้ แม้แต่บริการสาธารณสุขของไทย ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับและยกย่องให้เป็นแบบอย่างในระดับสากล ที่ประชาชนทั่วประเทศไม่เลือกชั้นวรรณะ สามารถเข้าถึงและรับบริการได้ ก็มาจาก พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ ปี 2517 เป็นต้นมา ที่บัญญัติให้การบริการรักษาสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นหน้าที่ของรัฐ
14 ตุลา 16 จึงเปลี่ยนการเมืองของชนชั้นนำให้กลายเป็น การเมืองของภาคประชาชน
จึงทำให้ ชนชั้นผู้ยากไร้ ไม่ว่ากรรมกร ชาวนา สามารถเข้าถึงโอกาสแห่งการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ โดยผ่านกฎหมายต่างๆ ที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญบัญญัติ และสามารถรวมกลุ่มกันสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองได้
ทำให้ระบบเจ้าขุนมูลนาย คลายตัวลง ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์มีพื้นที่และมีพื้นทางของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลและทุกภาคส่วน ของสังคมไทยต่อไป
ใครจะประเมินคุณค่าของ14 ตุลา 16 อย่างไร ย่อมเป็นสิทธิ แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ นั้นเป็นเนื้อนาบุญอันเกิดขึ้นจากการต่อสู้ 14 ตุลา 16 ที่ก่อเกิดพลังสร้างสรรค์มากมาย และขยายผลได้มหาศาลดุจดังวาทะธรรม ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตตโต)
เสรีภาพพื้นฐาน มีคำแสดงลักษณะของคนมีเสรีภาพว่า ‘เสรี สยํวสี…..’ คือ เป็นคนเสรี มีอำนาจเป็นของตนเอง
เมื่อร่างกายไม่ถูกผูกมัด ไม่เจ็บไข้หมดเรี่ยวแรงกายนั้น ก็เคลื่อนไหว ทำอะไรๆ ไปที่ไหนๆ ได้ ตามที่ใจต้องการโดยไม่ต้องมีใครมาอุ้มมาจูงออกไป
เมื่อจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกโมหะ คือความโง่เขลา
หลงใหลปิดกั้น ไม่ถูกความเห็นแก่ตัว ที่ไม่เห็นธรรม ผูกรัดไว้ คนก็จะทำอะไรๆ ที่ปัญญารู้เข้าใจบอกให้ว่าเป็นจริง ดีงาม ถูกต้อง เป็นคุณ เป็นประโยชน์ ได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับควบคุม
มีเสรีภาพพื้นฐาน เป็นแกนยืนยันไว้ เสรีภาพอื่น ทั้งหลาย จึงจะมีความหมายเป็นได้จริง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตตโต)
2 มกราคม 2566