ประเทศไทยถูกจับตาเป็นหนึ่งในประเทศที่ยอมรับ AI สูงที่สุดในโลก แต่โจทย์สำคัญคือเราจะเปลี่ยนจาก ‘ผู้ใช้’ ไปเป็น ‘ผู้สร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและสังคม’ ได้หรือไม่
THE STANDARD สัมภาษณ์พิเศษกับ Jason Kwon ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ (CSO – Chief Strategy Officer) ของ OpenAI โดย นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ซีอีโอและบรรณาธิการบริหาร ในรายการ The Secret Sauce ว่าด้วยโอกาสและความท้าทายในสนามเศรษฐกิจโลกของไทย
เขาเปิดเผยว่า เหตุผลหลักของการเดินทางมาไทยครั้งแรกในชีวิต คือได้รับเชิญจากคุณวุฒิธร มิลินทจินดา (วู้ดดี้) Woody World จึงถือโอกาสมาเก็บข้อมูลเพื่อนำไปใช้กำหนดกลยุทธ์องค์กร
“กลยุทธ์หลักของเราคือการเข้าไปเรียนรู้แต่ละประเทศ เข้าใจลำดับความสำคัญและวัฒนธรรม แล้วนำสิ่งนั้นกลับมาช่วยกำหนดทิศทางบริษัท”
เขายังเผยตัวเลขว่า การเติบโตของ AI ระดับโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยภูมิภาคเอเชียมีการขยายตัวเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก และประเทศไทยถือเป็นผู้นำในอัตราการเติบโตนี้ โดยกว่า 75% ของประชากรไทยเคยใช้ ChatGPT หรือแพลตฟอร์มลักษณะเดียวกัน ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการเข้าถึง แต่ยังบอกถึงศักยภาพของไทยในการเป็น early adopter ที่พร้อมต่อยอดไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม การใช้งานส่วนใหญ่ของคนไทยยังคงจำกัดอยู่ในระดับผู้บริโภค เช่น การแปลภาษา การหาคำแนะนำส่วนตัว การดูแลสุขภาพจิต ไปจนถึงการดูดวง
“คนไทยใช้เทคโนโลยี แต่เป้าหมายสุดท้ายยังคงเป็นการเข้าใจตัวเอง และเชื่อมโยงกับผู้อื่น”
ขณะที่ในหลายประเทศ AI เริ่มถูกนำไปใช้ในเชิงโครงสร้าง (structural use case) ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย ที่ใช้ AI ในเกษตรแม่นยำ (precision agriculture), จีน ที่บูรณาการ AI เข้ากับ healthcare และ smart manufacturing หรือยุโรป ที่ใช้ AI ร่วมกับกฎหมายควบคุมมาตรฐาน (AI Act) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการกำกับดูแล
Kwon ยังยกตัวอย่างโครงการในไอซ์แลนด์ ที่รัฐบาลนำข้อมูลภาษาและวัฒนธรรมเข้าสู่โมเดล AI เพื่อรักษาอัตลักษณ์ของชาติเล็กๆ นี่คือสัญญาณว่า AI ไม่ได้เป็นเพียง ‘เทคโนโลยีเศรษฐกิจ’ แต่ยังเป็น ‘เทคโนโลยีทางวัฒนธรรม’ ซึ่งประเทศไทยเองก็มีศักยภาพสูงที่จะทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ศิลปะ อาหาร หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น
แต่เมื่อมองในระดับโลก สนาม AI กำลังกลายเป็น ‘สมรภูมิพหุขั้ว’ (multi-polar competition) ไม่ใช่แค่ OpenAI เท่านั้นที่เป็นผู้เล่นหลัก แต่ยังมี DeepMind ที่พลิกวงการวิทยาศาสตร์ด้วย AlphaFold, Anthropic ที่โฟกัสด้านความปลอดภัยของ AI และ Baidu / Tencent / Huawei จากจีนที่สร้าง ecosystem เชิงรัฐขึ้นมา ขณะเดียวกัน บริษัท biotech อย่าง Insilico Medicine ก็กำลังใช้ AI เพื่อค้นหายาใหม่ที่เข้าสู่การทดลองทางคลินิกจริงแล้ว
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางธุรกิจ แต่กำลังกลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานใหม่ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์’ ใครที่ควบคุมข้อมูล และใครที่สร้างโมเดลได้ จะเป็นผู้กำหนดทิศทางโลกในอนาคต
สำหรับประเทศไทย Kwon เสนอว่า จุดที่ควรโฟกัสคือ เกษตร การศึกษา และการเข้าถึงที่เท่าเทียม เพราะนี่คือทั้งจุดแข็งและโจทย์ที่รอการแก้ไข การใช้ AI ในเกษตรเพื่อยกระดับผลผลิต การใช้ AI ในการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงเครื่องมือได้อย่างเป็นธรรม อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทย
“ประเทศไทยควรโฟกัสที่จุดแข็งของตัวเอง เช่น ความมองโลกในแง่ดี จิตวิญญาณ สุขภาวะจิตใจ เกษตร และการศึกษาเท่าเทียม เพราะ AI สามารถเข้ามาช่วยในด้านเหล่านี้ได้”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนในไทย ทั้งการเพิ่มการเทรนโมเดลภาษาไทย หรือการเปิดออฟฟิศในไทย Kwon ตอบว่า ‘มีความเป็นไปได้’
บทบาทของ AI ในองค์กร
เมื่อพูดถึงมุมมองระดับองค์กร คำถามคือ AI จะเข้าไปอยู่ตรงไหนใน workflow ของธุรกิจ Kwon ชี้ว่า องค์กรควรมองจาก ‘สิ่งที่ทำให้แตกต่าง’ เช่น สื่อควรใช้ AI เสริม storytelling และขยายรูปแบบการผลิตคอนเทนต์ ขณะที่ ‘ความน่าเชื่อถือ (trust)’ ต้องยังคงสร้างโดยมนุษย์ เพราะแบรนด์ไม่ได้ถูกนิยามด้วยเครื่องมือ แต่ด้วยความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อองค์กร
เมื่อถามว่าแล้วมีงานส่วนไหนใน OpenAI ที่จะไม่ยอมให้ AI มาแทนที่ เขาตอบเรียบง่ายว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น การกินข้าวด้วยกัน’
เขายังเล่าถึงวัฒนธรรมการทำงานภายใน OpenAI ว่าสรุปได้ด้วยสองคำ: ‘Research และ Intensity OpenAI’ ยังคงเป็นห้องทดลองที่เน้นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และขับเคลื่อนด้วยความเข้มข้นของทีมงานที่เชื่อในภารกิจ การมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเพียงกำไรทำให้พนักงานทุ่มเทเพื่อผลักดันขอบเขตวิทยาศาสตร์ให้ก้าวต่อไป
Trust: คำถามใหญ่ของโลก
เมื่อพูดถึง AI ประเด็นใหญ่ที่คนทั่วโลกกังวลไม่แพ้ศักยภาพทางเทคโนโลยีคือ ‘ความน่าเชื่อถือ (Trust)’ ว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเครื่องมือทรงพลังเช่นนี้จะถูกใช้ไปในทางที่ถูกต้อง และไม่สร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง
Kwon มองว่า คำถามเรื่อง Trust อาจถูกตั้งผิดทิศ “มันไม่ควรเป็นเพียงเรื่องว่าคุณจะเชื่อบริษัทหรือไม่ แต่ควรถูกมองว่า AI ให้อำนาจคุณได้มากแค่ไหน”
เขาอธิบายว่า เทคโนโลยี AI ที่แท้จริงควรทำให้ผู้ใช้สามารถ ‘ตั้งคำถามได้ดีขึ้น ตรวจสอบได้มากขึ้น และเลือกใช้อย่างมีวิจารณญาณ’ ไม่ใช่พึ่งพาบริษัทผู้พัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ
“ถ้าเราในฐานะผู้พัฒนา AI ทำงานถูกต้อง เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของผู้ใช้”
การเลี้ยงลูกในยุค AI
อีกประเด็นที่ Kwon เน้นคือการเลี้ยงดูเด็กในยุค AI เขามองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการสอนให้เด็ก ตั้งคำถามที่ดี (ask great questions) เพราะ AI สามารถสร้างคำตอบได้ไม่รู้จบ แต่คุณค่าที่แท้จริงคือการรู้จักเจาะลึก ถามให้ตรงประเด็น และท้าทายคำตอบที่ได้รับ
“เด็กจะเป็นคนที่สอนผู้ใหญ่เองว่า AI ใช้อย่างไร” เขากล่าว เพราะคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับ AI จะเป็นผู้หาวิธีใช้ประโยชน์ได้ลึกและสร้างสรรค์ที่สุด
สำหรับไทย นี่คือสัญญาณว่า การศึกษาไม่ควรสอนให้เด็กท่องจำคำตอบ แต่ต้องสอนให้เด็กใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเตรียมพร้อมกับอนาคต
Empowerment: หัวใจของการใช้ AI
ท้ายที่สุด Kwon ทิ้งคำว่า Empowerment ไว้เป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าประเทศหรือองค์กรใดที่ใช้ AI เพื่อทำให้ผู้คน “ทำสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน” จะเป็นผู้ชนะในโลกใหม่
คำถามคือ ไทยจะเลือกใช้ AI เพียงเพื่อ “ตามโลก” หรือเพื่อ “สร้างอนาคตของเราเอง”?