สำหรับชาวยุโรปไม่มีเกมฟุตบอลนัดไหนจะสำคัญและมีความหมายมากไปกว่านัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปียนคัพ รายการระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งจะมีเพียงแค่แชมป์ลีกของแต่ละชาติเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขัน โดยแต่ละปีจะมีการหมุนเวียนเมืองที่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพด้วย
โดยนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปียนคัพ ในปี 1985 จัดขึ้นที่สนามเฮย์เซล สเตเดียม ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งคู่ชิงชนะเลิศนั้นถือว่าน่าดูอย่างมากเพราะเป็นการพบกันของ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าที่กำลังเกรียงไกรในยุคนั้น นำมาโดยยอดนักเตะอย่าง เอียน รัช และ เคนนี ดัลกลิช จะป้องกันตำแหน่งกับทีมจากอิตาลีอย่าง ‘ม้าลาย’ ยูเวนตุส ที่นำมาโดย มิเชล พลาตินี และ เปาโล รอสซี โดยธีมหลักของเกมคือการล้างตาของทีมจากอิตาลี หลังลิเวอร์พูลบุกไปพิชิตแชมป์ในฤดูกาลก่อนได้ถึงถิ่นของทีมโรมา
แต่เกมที่ควรจะสนุกตื่นเต้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อกองเชียร์ของทีมคู่ชิง ‘ม้าลาย’ ยูเวนตุส และ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ที่ยกพลกันมาทีมละกว่า 25,000 คนดูจะตั้งใจมาราวีกันมากกว่าชมเกมฟุตบอล โดยต่างมีการปะทะคารม ยั่วยุกันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงก่อนเกม
หลังมีการยั่วยุใส่กันอยู่พักใหญ่ก็มาถึงจุดแตกหักในช่วงก่อนหน้าที่เกมจะเริ่มต้นราว 1 ชั่วโมงเมื่อ ‘The Kop’ สายฮูลิแกน อันธพาลลูกหนังของอังกฤษได้ทำลายรั้วที่พื้นที่เป็นกลาง (Neutral Area) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งไว้ให้สำหรับแฟนบอลชาวเบลเยียม (แต่มีการขายตั๋วให้แก่แฟนบอลโดยเฉพาะฝั่งยูเวนตุสเป็นพิเศษ) ก่อนจะบุกตะลุมบอนกับกองเชียร์ยูเวนตุสให้รู้ดีรู้ชั่วกันไป
เมื่อเห็นท่าไม่ดีกองเชียร์จากอิตาลีตัดสินใจหนีเอาชีวิตรอด แต่ไปจนมุมติดกำแพงก่อนสิ่งที่ไม่มีใครคิดจะเกิดขึ้น เมื่ออัฒจันทร์ของสนามเฮย์เซล ซึ่งเป็นสนามเก่าแก่มีอายุมากถึง 55 ปี (ในขณะนั้น) และเดิมทีก็อยู่ในสภาพที่เลวร้ายจนมีการเรียกร้องให้สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) เปลี่ยนไปจัดแข่งที่อื่นแต่ถูกปฏิเสธ ได้เกิดถล่มลงมาทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 39 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวอิตาลีมากที่สุดถึง 32 คน, ชาวเบลเยียม 4 คน, ชาวฝรั่งเศส 2 คน และชาวไอร์แลนด์เหนืออีก 1 คนด้วยกัน รวมถึงมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 600 คน
เหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวทำให้เกมล่าช้าไป ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีการตัดสินใจให้ทำการแข่งขันต่อไป แต่นักฟุตบอลไม่มีใจจะเล่นแล้ว สุดท้ายยูเวนตุสคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ 1-0 จากการยิงลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี ได้แชมป์ยูโรเปียนคัพสมัยแรกไปครองท่ามกลางกองศพและคราบน้ำตา
ส่วนลิเวอร์พูลนอกจากจะแพ้ในเกมนี้แล้วยังถูกลงโทษอย่างรุนแรง โดยมีการตัดสิทธิ์สโมสรจากอังกฤษไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลในรายการของยูฟ่าแบบไม่มีกำหนด ก่อนจะมีการยกโทษให้ในฤดูกาล 1990-91 (ลิเวอร์พูลถูกลงโทษแบนเพิ่มเติมอีก 3 ปีก่อนจะลดเหลือ 1 ปี) อันเป็นยุคที่ถูกเรียกว่า ‘ยุคมืด’ (Dark Age) ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ขณะที่แฟนบอลผู้ก่อเหตุได้ถูกจับกุมทั้งสิ้น 14 คน และถูกตั้งข้อหาการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และถูกตัดสินจำคุก 3 ปี