ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตรงกับวันเลือกตั้งทั่วไปที่คนไทยเฝ้ารอมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลังอยู่ภายใต้เงารัฐประหารมานานถึง 5 ปี และผ่านการเลื่อนเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้ง ในที่สุดคนไทยก็ได้หย่อนบัตรใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย
การเลือกตั้ง 2562 เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ให้ประชาชนกาบัตรเลือกตั้งใบเดียว โดยกำหนดให้มี ส.ส. แบบแบ่งเขต 350 คน ซึ่งมาจากผู้ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในเขตนั้นๆ ส่วน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 150 คนจะใช้คะแนนเสียงของพรรคการเมืองที่ได้รับทั้งประเทศหารด้วย 150 เป็นจำนวน ส.ส. พึงมีของพรรคการเมืองนั้นๆ แล้วนำมาหักลบกับจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตที่แต่ละพรรคได้รับเลือกมาแล้ว
หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายด้าน ตั้งแต่การคำนวณยอด ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่กฎหมายไม่ได้กำหนดสูตรการคำนวณเอาไว้ตายตัว ทำให้ต้องมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการใช้สูตรและกินเวลาเนิ่นนานถึงเดือนกว่าๆ จึงมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ยังไม่รวมเรื่องบัตรเขย่ง ตัวเลขผู้ใช้สิทธิที่แถลงไม่ตรงกัน ระบบคะแนนล่ม คะแนนของผู้สมัครบางคนหายไป บัตรเสียที่มีเป็นจำนวนมาก และอีกหลายต่อหลายประเด็นที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ราบรื่นอย่างที่คนไทยอยากเห็น
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้ ส.ส. มากที่สุด 136 ที่นั่ง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้เก้าอี้ ส.ส. 116 ที่นั่ง ตามมาด้วยพรรคอนาคตใหม่ 81 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปัตย์ 53 ที่นั่ง, พรรคภูมิใจไทย 51 ที่นั่ง, พรรคเสรีรวมไทย 10 ที่นั่ง, พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง, พรรคประชาชาติ 7 ที่นั่ง, พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 ที่นั่ง, พรรคเพื่อชาติ 5 ที่นั่ง, พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 ที่นั่ง, พรรคชาติพัฒนา 3 ที่นั่ง, พรรคพลังท้องถิ่นไท 3 ที่นั่ง, พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 ที่นั่ง และมีอีก 11 พรรคที่ได้เก้าอี้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่งจากสูตรคำนวณบัญชีรายชื่อของ กกต.
หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น พรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยรวม 19 พรรคการเมือง และเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
