11 กรกฎาคม 1893 โคคิชิ มิกิโมโตะ เพาะเลี้ยงไข่มุกสำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก
ทั้งนี้ไข่มุกเป็นสารอินทรีย์ที่เกิดตามธรรมชาติ ซึ่งจัดเป็นรัตนชาติที่ได้รับความนิยมสูงจนได้รับการยกย่องให้เป็น ‘อัญมณีแห่งท้องทะเล’ ไข่มุกแบ่งประเภทตามแหล่งกำเนิดคือ ไข่มุกน้ำจืด (Fresh Water Pearl) และไข่มุกน้ำเค็ม (Salt Water Pearl) ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นไข่มุกธรรมชาติ (Natural Pearl) และไข่มุกเพาะเลี้ยง (Cultured Pearl)
นอกจากนี้ยังมีไข่มุกเทียม (Imitation Pearl) ซึ่งได้จากวัสดุสังเคราะห์ประเภทพลาสติก แต่จะไม่มีความแวววาวคงทนเท่าไข่มุกแท้ ไข่มุกมีทั้งสีขาวนวล สีขาวอมชมพู สีแดง สีเทา และสีดำ ไข่มุกธรรมชาติเกิดจากสัตว์จำพวกหอยสองฝาหรือหอยนางรมสกุล Margarututera เมื่อมีวัสดุแปลกปลอม เช่น ทราย หรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่หลุดเข้าไปอยู่ภายในตัวหอย จึงปล่อยน้ำเมือก (Nacre) ออกมาเคลือบเพื่อป้องกันการระคายเคือง นานวันเข้าวัสดุแปลกปลอมนี้ก็จะถูกเคลือบจนเป็นก้อนกลมคล้ายลูกปัด ซึ่งก็คือไข่มุก (ปกติจะใช้เวลา 3-5 ปี) ไข่มุกอันแวววาวงดงามที่เห็นจึงเกิดจากความรำคาญของหอยนั่นเอง
มิกิโมโตะเริ่มต้นทำฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยมุกตั้งแต่ปี 1888 โดยกู้ยืมทุนมาจากธนาคาร ได้ทำการศึกษาชีววิทยาของหอยมุกและทดลองนำเปลือกหอยชิ้นเล็กๆ ใส่เข้าไปในตัวหอยแล้วนำไปเพาะเลี้ยงในกรงตาข่าย วางทิ้งไว้ในทะเลที่เมืองชินไม หลังจากประสบความล้มเหลวอยู่หลายครั้งจนเข้าใกล้ภาวะล้มละลาย เขาก็สามารถเพาะเลี้ยงหอยมุกได้สำเร็จ ไข่มุกเม็ดแรกที่ได้เป็นรูปครึ่งวงกลม เขาต้องใช้เวลาอีก 12 ปีจึงจะสามารถเพาะเลี้ยงไข่มุกให้ได้ทรงกลม จนมีคุณภาพและคุณสมบัติใกล้เคียงไข่มุกธรรมชาติมากที่สุด เขาเปิดร้านขายไข่มุกร้านแรกในปี 1899 ที่ย่านกินซ่า ในกรุงโตเกียว จากนั้นก็ขยายสาขาไปยังลอนดอน ปารีส นิวยอร์ก และเมืองสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก