×

Onimusha โลกของนักรบอสูรในมุมมองที่แตกต่าง

07.11.2023
  • LOADING...
Onimusha

หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Onimusha

 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล มิยาโมโตะ มุซาชิ (อากิโอะ โอสึกะ) ได้รับภารกิจให้ติดตาม เคนสุเกะ มัตสึกิ (โฮชู โอสึกะ) โดยการออกเดินทางร่วมกับกลุ่มซามูไรผ่านป่าเขาที่ทอดยาวไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ขณะที่หยุดพักเพราะความเหนื่อยล้า มุซาชิได้ถามกับมัตสึกิว่าซามูไรหนุ่มที่มีชื่อว่า อิเองมง (เรียวเฮ คิมุระ) เป็นคนแบบไหน เพราะเขาคือลูกศิษย์ที่มัตสึกิฝึกปรือมาตั้งแต่ 10 ขวบ ชายแก่ในชุดฮากามะจึงตอบกลับอย่างมีเลศนัยว่า “เขาเป็นคนมีฝีมือแต่ดันเกิดมาผิดยุค”

 

ในคืนเดียวกัน มุซาชิได้เปิดฉากเรื่องราวที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เขากล่าวว่าในกลุ่มซามูไรมี 3 คนเป็นคนทรยศ มุซาชิพูดอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะลงมือสังหารพวกเขาด้วยคมดาบ หลังจากเหตุการณ์โกลาหลคนที่ยังอยู่ได้ออกเดินทางต่อจนเจอเข้ากับหมู่บ้านร้างกลางหุบเขา ที่นั่นพวกเขาได้พบกับซาโยะ เด็กสาวที่เหลือรอดเพียงคนเดียว

 

ขณะที่เหล่าซามูไรกำลังถามไถ่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ สัตว์ประหลาดได้ถาโถมเข้ามายังหมู่บ้านพร้อมกับล้อมพวกเขาเอาไว้ มุซาชิตัดสินใจนำซาโยะมาใช้เป็นเหยื่อล่อเพื่อกำจัดพวกมันให้หมดในคราวเดียว ซามูไรหนุ่มที่เห็นว่าเด็กสาวกำลังสั่นเทาด้วยความกลัวจึงบอกเธอว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ให้พวกมันทำร้ายเจ้าแน่” ซาโยะที่ได้ยินดังนั้นจึงสงบสติลงและพยักหน้าให้กับเขาด้วยท่าทีที่มั่นใจ

 

Onimusha

 

ฉากเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงแรกของตอนที่ 1 ลากยาวไปจนถึงตอนที่ 2 กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Onimusha ซึ่งเป็นแอนิเมชันที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์วิดีโอเกมในชื่อเดียวกันของ Capcom ที่สำคัญฉากเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนถูกที่ถักทอขึ้นในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นจุดเด่นของผู้กำกับ ทาคาชิ มิอิเกะ ที่มักจะบอกเล่าเรื่องราวที่ซาบซึ้งทางอารมณ์ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง

 

น่าสนใจว่าการดัดแปลงมาเป็นแอนิเมชันนี้ไม่ได้เล่าเรื่องราวของตัวละครอย่าง ซามาโนสุเกะ อาเคจิ ที่เป็นตัวเอกคนสำคัญของเกมภาคแรก (Onimusha: Warlords) กับภาคสาม (Onimusha 3: Demon Siege) แต่เลือกที่จะสร้างมุมมองใหม่ขึ้นมาโดยใช้ มิยาโมโตะ มุซาชิ ปรมาจารย์ดาบชื่อดังของญี่ปุ่นเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง พร้อมกับเปลี่ยนพื้นหลังจากยุคเซนโกคุมาเป็นยุคเอโดะแทน

 

Onimusha

 

มุซาชิในซีรีส์นี้ไม่ใช่คนหนุ่มที่มากไปด้วยกำลังวังชา สังขารที่แก่ตัวลงทำให้เขาแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างชัดเจน มุซาชิไม่สามารถสู้รบปรบมือกับอสูรแบบตัวต่อตัวหรือมากกว่านั้นเป็นเวลานาน แม้จะแข็งแกร่งแต่เขาก็จำเป็นต้องพึ่งพา ‘ปลอกแขนอสูร’ เพื่อทดแทนสมรรถภาพทางกายที่หายไปของตน

 

ศัตรูที่เผชิญหน้ากับเขาล้วนทำให้เห็นถึงผลพวงของกาลเวลาที่มีต่อร่างกาย มุซาชิได้พบกับเหล่านักรบที่เขาเคยสังหารในอดีตที่ปัจจุบันกลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะของ ‘เก็นมะ’ อสูรซอมบี้ที่ไม่มีวันแก่ ในทางหนึ่งการต่อสู้ที่ปรากฏหลายครั้งก็แสดงให้เห็นว่ามุซาชิไม่ใช่คนที่สามารถกำราบพวกมันได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เพราะหากไม่ใช้ปลอกแขนเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังจะพ่ายแพ้ให้กับชีวิตที่ร่วงโรยไปตามวัย

 

Onimusha

 

ในทำนองเดียวกัน กาลเวลาไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวของมุซาชิ แต่ส่งผลถึงมัตสึกิ ผู้ที่หวาดกลัวความล้าหลังและเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิตแบบซามูไร ผู้กำกับอีกคนหนึ่งอย่าง ชินยะ ซูกาอิ และมือเขียนบท คุราตะ ฮิเดยูกิ ได้ใส่รายละเอียดนี้ผ่านการพูดคุยในลำธารระหว่างมุซาชิกับมัตสึกิ ที่นัยหนึ่ง ‘จุดยืนบนก้อนหิน’ กลายเป็นสัญญะที่แสดงถึงความคิดที่แตกต่างกันของสองตัวละคร เมื่อคนหนึ่งเชื่อว่าการต่อสู้ที่ไร้สาระนี้ควรจบลง ขณะที่อีกคนยังคงตั้งใจฝึกฝนวิชาดาบ

 

ทั้งนี้ องค์ประกอบที่ว่าก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เอาไว้ใช้ตีความหรือประลองปัญญา แต่เอาไว้ขยายความสัมพันธ์ของตัวละครและโลกที่จะแสดงออกมาผ่านการเดินทางที่มิตรภาพเริ่มก่อตัวในเส้นทางที่ความตายกำหนดทุกสิ่งอย่างเอาไว้

 

Onimusha

 

ไม่มากไม่น้อย Onimusha ก็ดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์สุดคลาสสิกอย่าง Seven Samurai (1954) ของ อากิระ คุโรซาวะ ที่มุ่งเน้นไปที่นักรบทั้ง 7 โดยเฉพาะความคล้ายคลึงกันของมุซาชิกับ โทชิโร มิฟูเนะ แต่ถึงกระนั้นซีรีส์ก็ได้ใส่ความเป็นปัจเจกเข้าไปในตัวละครอย่างชัดเจนเพื่อทำให้เห็นถึงความลึกตื้นหนาบางของพวกเขาที่แตกต่างกันทั้งนิสัยใจคอ ความชอบ และวิธีการต่อสู้

 

ส่วนงานภาพก็อย่างที่หลายคนเห็นกันตั้งแต่ในตัวอย่าง ตัวละครถูกออกแบบโดยใช้งาน 3D ผสมผสานเข้ากับพื้นหลัง 2D ที่วาดด้วยมืออย่างแนบเนียน องค์ประกอบนี้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเขาดูมีเลือดเนื้อขึ้นเมื่อต้องออกแอ็กชันที่พึ่งพาน้ำหนักอย่างการกวัดแกว่งดาบที่รวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อต้องปะทะกับอสูรหรือมนุษย์ด้วยกันเอง

 

Onimusha

 

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นข้อบกพร่องใหญ่คือการที่โครงเรื่องของ Onimusha ไม่ได้ปะติดปะต่อกับส่วนใดเลย มันไม่ได้เริ่มจากจุดที่หนึ่ง แต่เริ่มจากจุดที่สองหรือสาม ซึ่งส่งผลให้เรื่องราวความเป็นมาของเหล่าซามูไรดูเว้าแหว่ง แม้จะมีฉากที่เล่าถึงเบื้องหลังของพวกเขาก็ตาม โดยเฉพาะมุซาชิที่ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความเก่งกาจของเขาในอดีต นอกเสียจากคำบอกเล่าของตัวละครที่เคยเห็นการต่อสู้หรือได้ประดาบกับชายคนนี้

 

แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะมันถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากบุคคลในประวัติศาสตร์ รายละเอียดในส่วนนี้เลยพอมองข้ามได้เมื่อเทียบเคียงกับคุณภาพของซีรีส์

 

ตลอด 8 ตอนจึงไม่ได้ว่าด้วยสงครามใหญ่ แต่เป็นช่วงเวลาที่ผ่านเลยไปนานหลายสิบปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อพวกเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อสำคัญมันบอกเล่ามุมมองเหล่านั้นผ่านปัจจัยที่แตกต่างจากตัวเกม เพื่อทำให้โลกของนักรบอสูรที่เคยสร้างชื่อเอาไว้ช่วงต้นปี 2000 ถูกสำรวจในมิติที่หลากหลายขึ้น

 

อีกแง่หนึ่งของซีรีส์ Onimusha ก็คือการที่มันทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในฐานะมนุษย์เป็นสิ่งสวยงามเพียงไม่กี่อย่างท่ามกลางความเลวร้ายและป่าเถื่อน ซึ่งนั่นอาจเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางในครั้งนี้

 

สามารถรับชม Onimusha ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

รับชมตัวอย่างได้ที่นี่:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising