องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือน เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลก และการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายในบางพื้นที่
แถลงการณ์ของ WHO กล่าวว่า สายพันธุ์โอไมครอนมีจำนวนการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามในหลายตำแหน่งอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งบางตำแหน่งก็น่าหวั่นวิตกว่าจะมีอิทธิพลต่อแนวโน้มของสถานการณ์โรคระบาด ดังนั้นความเสี่ยงโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจึงอยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน WHO ยังระบุอีกว่า นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจถึงความสามารถของสายพันธุ์โอไมครอนในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อครั้งก่อนหน้า โดยคาดว่าน่าจะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้ใช้โอกาสนี้ในการเรียกร้องความร่วมมือจากนานาประเทศในการจัดสรรวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดให้ทั่วถึง โดยเฉพาะประเทศยากจน ก่อนย้ำว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดยังไม่จบ ดังนั้นจึงควรที่ชาติสมาชิก 194 ประเทศ ต้องเร่งกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันให้ทั่วถึง รวมถึงกลุ่มที่มีความเปราะบาง พร้อมเตรียมแผนบรรเทาสถานการณ์เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบบริการสาธารณสุขของประเทศล่ม
ผู้อำนวยการ WHO กล่าวว่า เชื้อไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนคือสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่า การระบาดของโควิดยังไม่สิ้นสุด โลกกำลังอยู่ในวัฏจักรของความตื่นกลัว ภารกิจที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการยุติการระบาดลงให้ได้
ด้าน ดร.โซเมีย สวามีนาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ WHO เปิดเผยว่า แม้ทั้งโลกกำลังตื่นตัวเรื่องโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอน แต่เดลตายังคงเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้คนติดเชื้อทั่วโลกมากที่สุดในปัจจุบัน โดยผู้ติดเชื้อกว่า 99% ทั่วโลกเกิดจากสายพันธุ์เดลตา และอัตราการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนจึงควรเป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญก่อนเป็นลำดับแรกในระหว่างที่รอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอน
คำเตือนจากองค์การอนามัยโลกครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางรายงานการพบการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลหลายชาติต้องประกาศใช้มาตรการควบคุมจำกัดการเดินทาง
สำนักข่าว AP รายงานว่า เพียงไม่กี่วันที่มีรายงานการค้นพบสายพันธุ์โอไมครอนเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้ ก็มีรายงานพบการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศทั่วยุโรป โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานพบผู้ติดเชื้อในเยอรมนี อิตาลี เบลเยียม อิสราเอล และฮ่องกง ขณะที่เมื่อวานนี้ (29 พฤศจิกายน) มีรายงานพบผู้ติดเชื้อในโปรตุเกส สกอตแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์
อัตราความเร็วในการแพร่ระบาดดังกล่าว ส่งผลให้ ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดของสหรัฐฯ ยอมรับว่า แม้จะยังไม่พบสายพันธุ์ดังกล่าวระบาดในสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากจะมีรายงานตรวจพบในภายหลัง เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการติดต่อของไวรัสกลายพันธุ์ตัวนี้
หลายประเทศจำเป็นต้องประกาศล็อกดาวน์และควบคุมการเดินทาง โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (28 พฤศจิกายน) อิสราเอลและโมร็อกโกประกาศปิดพรมแดนไม่รับนักเดินทางชาวต่างชาติชั่วคราว ขณะที่ญี่ปุ่นจะเริ่มใช้มาตรการลักษณะเดียวกันนี้ในวันอังคารนี้เป็นต้นไป (30 พฤศจิกายน) ส่วนหลายประเทศในเอเชีย ยุโรปอย่างอังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐฯ ประกาศควบคุมจำกัดนักเดินทางจากประเทศในแอฟริกาตอนล่างหลายประเทศ เช่น แองโกลา มาลาวี โมซัมบิก แซมเบีย บอตสวานา เลโซโท นามิเบีย แอฟริกาใต้ ซิมบับเว และเอสวาตินี (หรือสวาซิแลนด์)
นอกจากสั่งล็อกดาวน์และจำกัดการเดินทางอย่างเข้มงวดแล้ว หลายประเทศยังสั่งประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะแม้จะฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้วก็ตาม รวมถึงเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/world-59468155
- https://apnews.com/article/omicron-variant-covid-africa-uk-netherlands-1b344a86ff359a552aa5a64899a57ff7
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP