ณ วินาทีที่ บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) ตำนานนักบินอวกาศชาวอเมริกัน พร้อมด้วยเพื่อนนักบินอวกาศ นีล อาร์เดน อาร์มสตรอง หรือ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) ได้ก้าวเท้าออกจากยานอพอลโล 11 ออกเดินลงไปสัมผัสพื้นผิวที่ขรุขระ ไม่สม่ำเสมอ ทั้งยังดูแปลกตาของดวงจันทร์ นั่นคือช่วงเวลาประวัติศาสตร์ได้จารึกเอาไว้ว่าพวกเขาคือมนุษย์กลุ่มแรกที่ประสบความสำเร็จในการสำรวจดวงจันทร์
ทั้งยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โลกได้รับรู้ว่า ‘OMEGA Speedmaster’ คือเรือนเวลาที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักสำรวจดวงจันทร์ผู้ร่วมเดินทางเคียงข้างนีล, บัซ และไมเคิล (ไมเคิล คอลลินส์: Michael Collins) ที่ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจ Apollo 11 ด้วย!
(ซ้าย) บัซ อัลดริน ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีของโมเดล Speedmaster
(ภาพ: OMEGA)
จากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำของโลกที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และความแม่นยำ จากการทดสอบมาตรฐานและประสิทธิภาพในการบอกเวลาที่เข้มข้น เคี่ยว และกัดไม่ปล่อยจนถึงที่สุด ซึ่งออกแบบการทดสอบทั้งหมดมาเป็นอย่างดีโดย NASA บทสรุปมีเพียง OMEGA Speedmaster เท่านั้นที่สามารถฟันฝ่าทุกด่านการทดสอบจนยืนหยัดเป็นเรือนเวลาที่นักบินอวกาศเชื่อมั่น ไว้วางใจให้คอยบอกเวลาในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขา
เมื่อผนวกรวมกับต้นกำเนิดของซีรีส์ Speedmaster ที่ถอยย้อนกลับไปในปี 1957 Speedmaster โดย OMEGA ไม่แปลกที่พวกเขาจะถูกยกย่องให้กลายเป็นหนึ่งในเรือนเวลาที่การันตีได้ถึงความเป็นเลิศ ชื่อชั้นระดับสูง ประสิทธิภาพการบอกเวลาที่เที่ยงตรง แม่นยำในทุกๆ ครั้งที่เห็นชื่อซีรีส์นี้ปรากฏ…
66 ปีผ่านไปนับตั้งแต่ที่เข็มเวลาทั้งสั้นและยาวของ Broad Arrow: The First Speemaster หรือ Speedmaster เรือนแรกของโลกเริ่มเดินสลับตามจังหวะ พร้อมบันทึกทุกวินาทีเพื่อจับเวลาการแข่งขันรถและการแข่งกีฬาทุกชนิดในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปัจจุบัน Speedmaster และ OMEGA ยังคงเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์อย่างไม่หยุดหย่อน ล่าสุดในปี 2023 นี้ พวกเขาได้เปิดตัว ‘Speedmaster Super Racing’ โมเดลลำดับล่าสุดในซีรีส์ Speedmaster
Speedmaster Super Racing เรือนเวลาเรือนแรกจาก OMEGA ที่มาพร้อมระบบ Spirate™
จากประวัติศาสตร์ความสำเร็จของ OMEGA และ Speedmaster ที่สร้างเรือนเวลาระดับไอคอนิกให้โลกและอุตสาหกรรมได้รู้จัก ในปี 2023 นี้ พวกเขาได้สานต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้วยการเปิดตัว Speedmaster Super Racing ที่มาพร้อมกับระบบ Spirate™ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์และนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดย OMEGA ที่เราจะกล่าวถึงเต็มๆ ในลำดับถัดไป
Speedmaster Super Racing เป็นเรือนเวลาขนาด 44.24 มิลลิเมตร หนา 14.9 มิลลิเมตร ที่โดดเด่นด้วยรูปโฉมภายนอกที่ใช้ตัวเรือนแบบสแตนเลสสตีล โดยใช้ดีไซน์ที่ Tribute ให้กับวาระครบรอบ 10 ปีของเรือนเวลา Seamaster Aqua Terra > 15,000 GAUSS ที่เปิดตัวในปี 2013 โดยเฉพาะบริเวณฝาหลังนาฬิกาที่ใช้ดีไซน์แบบแซฟไฟร์คริสตัล ซึ่งเผยให้เห็นกลไกแบบใหม่ในตัวเรือน
อีกหนึ่งจุดเด่นที่สะกดทุกสายตาคือการเลือกใช้ขอบหน้าปัดเซรามิกและหน้าปัดแบบสีดำ ใช้ดีไซน์สเกลทาคีมิเตอร์เคลือบอีนาเมลสีเหลืองด้วยกรรมวิธีกรองด์ เฟอ (Grand Feu) โดยการใช้เฉดสีเหลืองแบบนี้ยังชวนให้นึกถึงดีไซน์ของหน้าปัดตัวเรือน Seamaster Aqua Terra > 15,000 GAUSS of 2013 ด้วย
ตัวหลักชั่วโมงที่ลบบริเวณส่วนมุมแบบขัดเงาไดมอนด์สีดำบนหน้าปัดใช้สารเรืองแสง Super-LumiNova ที่ช่วยขับให้สีเหลืองบนดีเทลเรือนหน้าปัด ครอบคลุมถึงตัวอักษร Speedmaster และ Super Racing โดดเด่น และมองเห็นได้ง่ายชัดเจน
บริเวณรังผึ้งเล็กๆ ที่อยู่บริเวณหน้าปัด ทาง OMEGA ได้ใส่ลงไปใน Speedmaster Super Racing เพื่อเป็นกิมมิกให้นึกถึงตัวเรือนเวลาแบบคอนเซปต์ของ OMEGA ที่จัดแสดง ณ OMEGA Museum ซึ่งทนทานต่อแรงขนาดมหาศาลของสนามแม่เหล็กถึง 160,000 GAUSS
ในตำแหน่ง 3 นาฬิกามาพร้อมกับหน้าปัดย่อยที่ทำหน้าที่ช่วยจับเวลา (60 นาที / 12 ชั่วโมง) ส่วนฝั่งตรงข้ามที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็นหน้าปัดย่อยที่ใช้สำหรับการบอกเวลารายวินาที
ขณะที่บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา นอกจากจะเป็นหน้าปัดที่ใช้บอกวันที่แล้ว ยังเป็นกิมมิกสุดเท่ที่ OMEGA แฝงเอาไว้ผ่านการฉลองช่วงครบรอบ 10 ปี Seamaster Aqua Terra > 15,000 GAUSS ด้วยการใช้เลข 10 แบบเดียวกันกับลักษณะฟอนต์โลโก้ของซีรีส์ Speedmaster ที่ในหนึ่งเดือน เลข 10 ที่พิเศษนี้จะปรากฏมาแค่หนเดียวเท่านั้น!
นอกจากกล่องนาฬิกาแบบรังผึ้งที่เดินด้ายสีเหลืองด้วยโทนสีแบบเดียวกันกับดีไซน์ที่ใช้กับหน้าปัดตัวเรือนแล้ว Speedmaster Super Racing ยังมาพร้อมกับสายแบบสปอร์ต NATO ลายทางสีดำและเหลืองเข้ากันกับตัวเรือนอย่างลงตัว และช่วยเปลี่ยนฟีลลิงในการใช้งานให้ต่างออกไปตามวาระและโอกาส
Spirate™ System นวัตกรรมเสริมความแม่นยำที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย OMEGA
ตามที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่านี่คือ Speedmaster เรือนแรกของ OMEGA ที่มาพร้อมกับระบบ Spirate™ โดยความพิเศษที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบนี้คือขดสายใยนาฬิกาที่กำลังอยู่ในกระบวนการจดสิทธิบัตรโดย OMEGA และผ่านการรับรองในระดับมาตรฐานสูงสุดของอุตสาหกรรมจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สวิส (METAS)
สายใยนาฬิกาในระบบ Spirate™ คือความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นภายใต้การทำงานอย่างหนักของทีม OMEGA ซึ่งทำให้สามารถปรับอัตราการแกว่งได้อย่างละเอียดมากกว่าครั้งไหนๆ และเรือนเวลาเรือนใด โดยสายใยแต่ละชิ้นผลิตจากซิลิคอนเวเฟอร์ซึ่งได้จากกระบวนการผลิตภายในที่มีชื่อว่า DRIE (Deep Reactive Ion Etching)
ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบ Spirate™ คือการที่ Speedmaster Super Racing เรือนนี้ สามารถลดความคลาดเคลื่อนในการบอกเวลาได้ที่ระดับ 0 / +2 วินาทีต่อวัน จึงช่วยให้ Speedmaster Super Racing สามารถบอกเวลาผู้สวมใส่ได้อย่างแม่นยำ เที่ยงตรง คลาดเคลื่อนน้อยสุดๆ ไปจนถึงไม่คลาดเคลื่อนเลยด้วยซ้ำไป
และเพราะเหตุผลที่สายใยนาฬิกาในระบบ Spirate™ นี้เป็นชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนที่สุดทั้งในแง่การผลิตและการควบคุมการทำงานของนาฬิกาจักรกล การรังสรรค์ระบบ Spirate™ จึงถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญกับทั้ง OMEGA เรื่อยไปจนถึงอุตสาหกรรมเรือนเวลา
โดยในอนาคตทาง OMEGA ยังเล็งที่จะต่อยอดการนำระบบ Spirate™ ไปใช้กับเรือนเวลารุ่นใหม่ๆ ของพวกเขาอีกด้วย (แต่ความพิเศษคือการปักหมุดเริ่มต้นนับหนึ่งที่ Speedmaster Super Racing นั่นเอง)
นาฬิกา Speedmaster Super Racing ขับเคลื่อนด้วยกลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer Calibre 9920 โดยทั้งกลไกและนาฬิกาต่างก็ประกอบขึ้นโดยผ่านการทดสอบที่เข้มงวดที่สุดในอุตสาหกรรมเพื่อรับประกันถึงประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรง และคุณสมบัติการต้านทานสนามแม่เหล็กในระดับสูงสุด
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ Speedmaster Super Racing ได้ที่ https://www.omegawatches.com/th-th/watches/speedmaster/two-counters/super-racing/product และสำหรับผู้สนใจเรือนเวลาสุดพิเศษจาก OMEGA สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บูติก
สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี: 0 2160 5959
สาขาสยามพารากอน: 0 2129 4878
สาขาเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า: 07 6510 818
หรือ LINE OA: @OMEGAThailand
- OMEGA Speedmaster โมเดลที่ บัซ อัลดริน นักบินอวกาศในภารกิจ Apollo 11 สวมขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่บนดวงจันทร์ ถือเป็น Speedmaster เรือนแรกที่มีดีไซน์แบบ ‘ไม่สมมาตร’ โดยการออกแบบตัวเรือนให้มีความไม่เท่ากันเป็นไปตามหลักวิศวกรรมศาสตร์เพื่อจุดประสงค์การเสริมความป้องกันเป็นพิเศษให้ ‘ก้านมะยม’ และกลไกปุ่มกด นอกจากนี้ยังมีการประทับตราตัวอักษร Professional ลงบนหน้าปัดตัวเรือนเป็นครั้งแรกด้วย