โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เป็นผู้จัดการทีมที่เผชิญกับสถานการณ์ใกล้เคียงต่อการกระเด็นตกเก้าอี้บ่อยมากที่สุดคนหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็นคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงที่สุดไม่เพียงเฉพาะในหมู่ของเหล่าผู้รู้ในวงการฟุตบอล
แม้กระทั่งในหมู่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยกันเองก็มีหลายครั้ง และหลากช่วงเวลาที่พวกเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่ายหัว และถอนหายใจกับฟอร์มการเล่นของทีมรักภายใต้การนำของกุนซือชาวนอร์เวย์
นอกจากในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2018-19 คล้อยหลังจากที่โซลชาร์ได้รับการเสนอคุมทีมระยะเวลา 3 ปีไม่นาน แต่ผลงานที่เข้าขั้นมหัศจรรย์กลับเปลี่ยนทิศเหมือนขั้วแม่เหล็กจนทำให้เกิดคำถาม ว่าตกลงแล้วฝ่ายบริหารของสโมสรตัดสินใจถูกแล้วหรือตัดสินใจไวเกินไปที่เสนอสัญญาคุมทีมถาวรให้ และยังมีอีกอย่างน้อย 2 ครั้งที่เกิดสถานการณ์ใกล้เคียงกัน
ล่าสุดคือในช่วงต้นเดือนธันวาคมเมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดกระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังจากที่พลาดท่าในเกมกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ แอร์เบ ไลป์ซิก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นทำผลงานได้น่าประทับใจมาโดยตลอด
ในช่วงนั้นมีกระแส #OleOut (ขณะที่แฟนทีมอื่นก็ #SaveOle กันสนุกสนาน) โดยที่มีการคิดถึงโอกาสที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน อดีตผู้จัดการทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ยังว่างงานอยู่
แต่ที่สุดแล้วฝ่ายบริหารของแมนฯ ยูไนเต็ดก็ยืนกรานที่จะสนับสนุนโซลชาร์เหมือนเดิม โดยมีคำชี้แจงว่าเป็นเพราะผลงานในภาพรวมของทีมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะไม่โดดเด่นแต่เริ่มมีสัญญาณแล้วว่ากุนซือชาวนอร์เวย์กำลังนำทีมกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง
สัญญาณดังกล่าวก็เช่น เกมรับที่เสียประตูน้อยลง ความสม่ำเสมอของผลงาน ผลงานในเกมเยือนที่เข้าขั้นยอดเยี่ยม ที่อาจจะน่าเป็นห่วงคือเรื่องของผลงานในเกมเหย้าที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงแรกของฤดูกาล 2020-21 และเรื่องของการสร้างสรรค์กับการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูที่ไม่ดีนัก
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแมนฯ ยูไนเต็ดภายใต้การนำของโซลชาร์ ทายาทผู้สืบทอดแนวทางและปรัชญาการทำทีมมาจาก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยตรงก็ดีขึ้นตามลำดับ ในช่วงเวลาหนึ่งเคยมีลุ้นขึ้นไปเบียดชิงจ่าฝูงกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยก่อนที่จะสะดุดในบางนัดจากความไม่พร้อมของทีม
จนถึงวันนี้พวกเขายึดรองจ่าฝูงเหนียวแน่น ซึ่งแม้ว่าความหวังจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้เหลือเพียงแค่เปลวเทียนเล็กๆ ที่ลมแผ่วเบาพัดผ่านก็พร้อมจะดับวูบ เพราะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต้องการชัยชนะอีกเกมเดียวทุกอย่างจะจบทันที (สุดสัปดาห์นี้พบกับเชลซี) แต่จากผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เริ่มมีการพูดถึงการยกระดับขึ้นมาเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ในฤดูกาลหน้าแล้ว
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่โซลชาร์สามารถพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก เมื่อผ่านด่านโรมามาได้สำเร็จ (แม้ว่าจะหืดจับเล็กน้อยในนัดที่ 2 ก็ตาม) หลังจากที่พยายามมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้แต่ล้มเหลวทั้งหมด
โอกาสที่จะได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์อีกครั้งหลังจากที่ทีมระดับแมนฯ ยูไนเต็ดห่างหายจากความสำเร็จมานานเกือบ 4 ปี โดยครั้งสุดท้ายก็คือรายการเดียวกันในยุคของ โชเซ มูรินโญ ก็สร้างความคึกคักให้กับเหล่าสาวกอสูรแดงอย่างยิ่ง
แมนฯ ยูไนเต็ดวันนี้มีองค์ประกอบของทีมชั้นยอดครบถ้วน เริ่มจากรากฐานของความสำเร็จของทุกสโมสรคือเกมรับ ซึ่งเวลานี้แบ็กโฟร์ที่ประกอบไปด้วย แฮร์รี แม็กไกวร์, ลุค ชอว์, อารอน วาน บิสซากา และ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ถือว่าเป็นแผงหลังที่แข็งแกร่งจริง
ในแดนกลางหลังการลองผิดลองถูกมานาน โซลชาร์ก็มีสูตรที่จะเลือกใช้งานผู้เล่นอย่าง ปอล ป็อกบา, เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ แล้วแต่สถานการณ์ โดยที่สตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสเปลี่ยนทัศนคติในการเล่นของตัวเองไปมาก และทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดยกระดับทีมขึ้นสูงได้อีกมาก
ขณะที่ในเกมรุกหลังการพยายามค้นหาคำตอบของแนวรุกมานาน ในที่สุดโซลชาร์ก็มั่นใจได้ว่า เอดินสัน คาวานี ศูนย์หน้าพระกาฬชาวอุรุกวัย แม้วัยจะล่วงเข้า 34 ปีแล้วแต่เขาดีพอที่จะยืนเป็นเบอร์หนึ่งของทีมได้อย่างสบายๆ ซึ่งถือเป็นการกลับมาได้จังหวะพอดี เพราะ อองโตนี มาร์กซิยาล บาดเจ็บทำให้ ‘เอล มาทาดอร์’ ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองแบบจริงจังครั้งแรก
โซลชาร์ยังมีอาวุธเด็ดอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับหัวแถวของยุโรป ซึ่งแม้ปัจจุบันฟอร์มการเล่นจะตกลงไปบ้างแต่จะกลับเข้าฟอร์มได้อย่างแน่นอน และอีกคนคือ เมสัน กรีนวูด ไอ้หนูมหัศจรรย์ที่แจ้งเกิดและเกือบเสียคนเพราะชื่อเสียง แต่กุนซือชาวนอร์เวย์ก็ดึงกลับมาเข้ารูปเข้ารอยได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าพระเอกของทีมที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ทุกอย่างคือ บรูโน แฟร์นันด์ส ที่พลิกโชคชะตาของทีมได้อย่างมหัศจรรย์ จนปัจจุบันเวลาผ่านมา 1 ปีเศษแล้วดาวเตะชาวโปรตุเกสก็ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงสุดเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อแทบไม่มีตก
อย่างไรก็ดีคนที่สมควรได้เครดิตมากที่สุดคือโซลชาร์ ที่ยิ่งเวลาผ่านก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็นผู้จัดการทีมที่เก่งกาจของเขา
จากกุนซือชื่อชั้นไม่ดีที่ผ่านการคุมทีมแค่ลีกระดับล่างของยุโรปอย่างนอร์เวย์ คุมทีมในอังกฤษอย่างคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ก็พาตกชั้น ดูอ่อนหัดในเชิงฟุตบอลและชวนให้คิดถึงครั้งยังเป็นนักเตะที่โซลชาร์เองก็ไม่ได้เป็นสตาร์ตัวหลักหากแต่เป็น ‘ซูเปอร์ซับ’ เท่านั้น
แต่โซลชาร์เองก็อดทนในการทำงาน ใช้เวลาค่อยๆ ประกอบร่างทีมขึ้นมาใหม่ แก้ไขปัญหาทีละเปลาะ เรียนรู้จากความผิดพลาด โดยไม่เคยแสดงอาการเกรี้ยวกราดฟาดงวงฟาดงาใส่ใคร
เวลานี้เขาเติบโตขึ้นอย่างสง่างาม เป็นผู้จัดการทีมที่ดูเก่งกาจในเรื่องการบริหารคน (Man Management) ดารารัศมีเริ่มทาบชั้นยอดกุนซือในพรีเมียร์ลีกคนอื่นอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา, เจอร์เกน คล็อปป์ หรือ โธมัส ทูเคิล ได้
ที่สำคัญที่สุดคือเขาชนะใจของกองเชียร์ปีศาจแดงทุกคนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่แฟนบอลมาประท้วงที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน ซึ่งโซลชาร์ตัดสินใจที่จะไปรับฟังเหตุผลและความเห็นของแฟนๆ มากกว่าจะหลบหน้า ทำให้แฟนบอลสงบลง
หรือการออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการประท้วงใหญ่ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดก่อนเกมแดงเดือดที่ผ่านมา ความเห็นของเขาดูกลั่นกรองออกมาจากทั้งสมองของคนที่เติบโตทางวุฒิภาวะ และกลั่นกรองจากความรู้สึกในฐานะที่หากไม่ใช่ผู้จัดการทีมเขาก็เป็นแฟนบอลสโมสรด้วยคนหนึ่ง
วันดีๆ กำลังจะกลับมาอีกครั้งเพราะโซลชาร์ ไม่แปลกที่แฟนจะเริ่มเชื่อและรู้สึกเช่นนั้น
แต่ก่อนจะคิดไกล กุนซือซูเปอร์ซับต้องทำสิ่งที่สำคัญที่สุดให้ได้ก่อนในแชมป์แรกของเขากับสโมสร
ถ้าทำได้ จะเป็นต้นทุนกำลังใจต่อทั้งตัวเอง ต่อทีม และต่อแฟนบอลทุกคนในการสู้ศึกมโหฬารที่รออยู่
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ