ผ่านมาถึงเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 3 กันแล้วนะคะ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่อะไรหลายๆ อย่างถาโถมเข้ามาท้าทายขวัญและกำลังใจของลูกจ้างอย่างเราๆ กันมากมายจริงๆ ค่ะ ซึ่งมันก็มีเหตุผลของมันอยู่นะคะ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเจ้านายเร่งให้ทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 1 ไตรมาสก็จะต้องสรุปผลงานกันแล้ว หรือการต้องเตรียมแผนงานสำหรับปีหน้า ประมาณว่างานปีนี้ก็ต้องทำ ส่วนงานปีหน้าก็ต้องคิด #นั่นแหละค่ะท่านผู้ชม
อีกเหตุผลคือ ใกล้จะถึงเวลาที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจเรื่องโบนัสและผลตอบแทนที่จะจ่ายในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงของการเร่งโกยคะแนน อันเป็นที่มาซึ่งทำให้บรรยากาศในการทำงานของทุกๆ ออฟฟิศเริ่มที่จะตึงเครียด ไม่สนุกสนานลั้นลาเหมือนช่วงที่ผ่านมา เอาจริงๆ ช่วงเดือนกันยายนนี่เป็นช่วงที่หลายๆ ความพังมาอยู่รวมกันโดยมิได้นัดหมายนะคะ งานก็เยอะ ฝนก็ตก วันหยุดก็น้อย #กรี๊ด จนทำให้หลายๆ คนมักจะคิดถึงการลาออก!
ถึงแม้การลาออกจะเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ต้องพบเจอ อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามบุญทำกรรมแต่ง แต่ขอให้การลาออกในแต่ละครั้งนั้นผ่านการคิดตรึกตรองอย่างถ่องแท้แล้วว่าเป็นการเดินออกจากที่หนึ่งเพื่อมุ่งไปยังที่ที่ดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้ ขอให้ลองชั่งใจเสียใหม่ เพราะการลาออกในช่วงนี้โคตรจะไม่ดีเอามากๆ ไม่ดีอย่างไร ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ
ข้อที่หนึ่ง ตัวเลือกน้อย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดแรงงานค่อนข้างปิด นั่นคือมีตำแหน่งงานว่างที่น่าสนใจไม่มากเท่าช่วงไฮซีซันระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ที่มีการลาออกหลังจากรับโบนัสกันของหลายๆ คน ทำให้ช่วงนั้นมีตำแหน่งงานดีๆ ที่น่าสนใจให้เลือกสมัครกันมากมาย ตรงกันข้ามกับช่วงนี้ที่ตำแหน่งงานว่างมีให้เลือกไม่มากนัก
ข้อที่สอง ได้ไม่คุ้มเสีย การลาออกในช่วงนี้ นอกจากคุณจะพลาดโอกาสในการได้รับเงินโบนัสที่เกิดจากความอดทน ต่อสู้ ฝ่าฟันมาหลายเดือนแล้วนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างมากและมั่นใจว่ามีไม่ถึง 10% ที่ถามคำถามนี้ตอนที่สมัครงาน นั่นคือการนับอายุงานของพนักงานใหม่เพื่อนำไปใช้คำนวณโบนัส เพราะมีหลายองค์กรค่ะที่ไม่พิจารณาจ่ายโบนัส รวมถึงพิจารณาปรับเงินเดือนประจำปีให้กับพนักงานใหม่ที่อยู่ระหว่างทดลองงาน ซึ่งพนักงานใหม่ที่ไปเริ่มงานหลังเดือนตุลาคม กว่าจะผ่านทดลองงานก็เดือนมกราคมปีหน้า นั่นแปลว่านอกจากจะพลาดโบนัสของที่เก่าแล้ว อาจจะยังต้องรออีกเป็นปีๆ เพื่อให้ได้รับโบนัสและปรับเงินเดือนจากที่ใหม่ ครั้นจะขออัพค่าตัวมากๆในช่วงที่มีตำแหน่งงานว่างน้อยกว่าคนหางานก็คงต้องสู้กันเหนื่อยหน่อยค่ะ
ข้อที่สาม งานเช็ดล้าง การเข้าไปทำงานที่ใหม่ในช่วงนี้คือการเข้าไปรับภาระที่คนเก่าทิ้งเอาไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาประเมินแล้วว่าเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้เมื่อต้นปีผ่านมาจนถึงไตรมาสนี้อาจจะไม่สำเร็จ และคงได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการรอคอยไปอีก 3-4 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราเข้าไปรับหน้าที่นั้นต่อในช่วงนี้ ไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะได้คิดแผนงานอะไรใหม่ได้มากมาย นอกเสียจากการเข้าไปเพื่อถูกกดดันให้ทำงานที่ค้างไว้ให้สำเร็จ ลองจินตนาการดูนะคะว่าถ้าคุณจะต้องเปลี่ยนทั้ง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน สถานที่ใหม่ แล้วยังต้องทำงานที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนคิดวางแผนไว้ให้สำเร็จอีก #หายนะที่แท้ทรูค่ะ
ข้อที่สี่ เฝ้าออฟฟิศ ใช่ค่ะ ถึงแม้ว่าช่วงเดือนนี้จะไม่ค่อยมีวันหยุด แต่หลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีที่อากาศก็ดี แถมยังมีวันหยุดเยอะอีก ก็จะเป็นช่วงที่หลายคนวางแผนการใช้วันพักร้อนเพื่อไปเที่ยวกับครอบครัว คนรัก หรือเพื่อนสนิทกัน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับพนักงานใหม่ค่ะ เพราะถ้าคุณเป็นพนักงานใหม่ในช่วงนี้ คุณก็คงจะไม่มีวันพักร้อนให้ได้ใช้ไปอีกหลายเดือน นั่นก็หมายความว่าในช่วงที่ใครๆ ต่างก็ไปเที่ยวกัน คุณก็ยังต้องตั้งใจทำงานต่อไป… อันนี้ก็ขอฝากไว้สำหรับคนที่มีแฟนแล้ววางแผนจะไปสวีทกันปลายปีที่อากาศทั่วโลกดีสุดๆ ด้วยนะคะ การเปลี่ยนงานครั้งนี้อาจจะมีผลต่อปัญหาครอบครัวก็เป็นได้ >_<
เมื่อนับข้อไม่ดีได้ 4 ข้อแล้ว ขอฝากเอาไว้อีกนิดนะคะว่า ถึงแม้การลาออกจะเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ต้องพบเจอ อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามบุญทำกรรมแต่ง แต่ขอให้การลาออกในแต่ละครั้งนั้นผ่านการคิดตรึกตรองอย่างถ่องแท้แล้วว่าเป็นการเดินออกจากที่หนึ่งเพื่อมุ่งไปยังที่ที่ดีกว่า
และก่อนจะลาออกจากงานเดิม ขอให้ตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองก่อนนะคะว่า
- ปัญหาที่เกิดขึ้นที่จนทำให้อยากลาออกเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้แล้ว หรือเสียแรงเปล่าที่จะแก้ไขใช่หรือไม่
- เราไม่ได้หนีปัญหาไปโดยไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการลาออกครั้งนี้ใช่หรือไม่ ถ้าเราเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดจากการตัดสินใจร่วมงานกับที่ปัจจุบัน ต้องเรียนรู้ว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกในการเลือกที่ทำงานที่ต่อไป
- ถ้าลาออกไปหางานใหม่ ชีวิตเราจะดีขึ้นใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ ความมั่นคง ความก้าวหน้า ความสามารถในการทำงาน หรือคุณภาพชีวิต
- เราไม่ได้ทิ้งอะไรไว้โดยไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อนลาออกหรือไม่ โลกกลมกว่าที่คิด และเมื่ออายุมากขึ้นเราจะเรียนรู้ว่าเครดิตและคอนเน็กชันมีผลมากกับการยกระดับเราให้สูงขึ้นไปได้
- เราตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์หรือไม่
คำโบราณที่บอกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวานยังคงเป็นสุภาษิตที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยนะคะ เพียงแต่เราก็ต้องพิจารณาทุกอย่างด้วยสติปัญญาว่าการอดเปรี้ยวนั้นจะทำให้ได้กินของหวานหรือของเน่า
การตัดสินใจลาออกจากงานจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุของเราค่ะ ถ้าเราอายุเยอะประมาณหนึ่งแล้วยังทำให้การลาออกเป็นเรื่องง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็ลองพิจารณาตัวเองดูนะคะว่าทำไมเราถึงยังอยู่ในจุดที่ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นและตนเองได้ขนาดนั้น เพราะในวัยที่ทำงานไปหลายๆ ปีควรจะต้องอยู่ในจุดที่มีตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญต่อองค์กรและทีมงาน การตัดสินใจลาออกหนึ่งครั้งก็อาจจะส่งผลต่อชีวิตเราและคนรอบตัวอีกไม่น้อย เพราะฉะนั้นต้องเป็นการตัดสินใจที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นและทำร้ายคนอื่นให้น้อยที่สุด
ตั้งสติก่อน stop นะคะ #ฝากไว้ให้คิด