บมจ.ณุศาศิริ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจใช้เงินลงทุน 850 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบิ๊กล็อตของ บมจ.เด็มโก้ สัดส่วน 23.27% ขึ้นเป็นผู้ถือใหญ่อันดับ 1 รายใหม่ เพื่อรุกขยายธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มที่ หลังต้นปีที่ผ่านประเดิมซื้อหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ มาแล้ว สัดส่วน 8% ระบุเป็นการกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพอร์ตธุรกิจอสังหา พร้อมเดินหน้าหาดีลใหม่ลงทุนต่อเนื่อง เน้นโครงการผลแทนดี หวังพลิกผลงานปีหน้ากลับมามีกำไร
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บมจ.ณุศาศิริ หรือ NUSA ได้ทำรายการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ (Big Lot) โดยเข้าซื้อหุ้นของ บมจ. เด็มโก้ (DEMCO) จำนวน 170 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.27% ของหุ้นทั้งหมดที่ ราคาหุ้นละ 5 บาท เป็นเงินลงทุนรวม 850 ล้านบาท ทำให้ NUSA จะมีสถานะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ DEMCO ทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 12 หุ้นปันผล 2565 ขึ้น XD (9-12 พ.ค. 2565) อัตราปันผลสูงเกิน 5% ขึ้นไป
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
วิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สาเหตุที่บริษัทตัดสินเจ้าลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากธุรกิจหลักของ DEMCO มีการลงทุนในธุรรกิจที่บริษัทมีความสนใจอยู่แล้วคือ ธุรกิจพลังงานทดแทนในกลุ่มพลังงานลม อีกทั้ง DEMCO ยังเป็นถือหุ้นใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) สัดส่วน 4% โดยก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา NUSA ได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด แล้ว สัดส่วน 8% โดยชำระค่าทำรายการด้วยการหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ของ NUSA เพื่อนำไปแลกหุ้นกับหุ้นของ WEH
“นโยบายการลงซื้อหุ้น DEMCO คิดว่ายังคงถือไว้ที่สัดส่วนปัจจุบันไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เข้าเกณฑ์ต้องไปทำเทนเดอร์หุ้น เพราะหากถือหุ้นเกิน 25 % ต้องทำเทนเดอร์”
ทั้งนี้ หลังจากบริษัทได้ลงทุน WEH เห็นโอกาสว่าการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนช่วยสร้างตอบแทนในรูปแบบกำไรและรายได้กลับมาในระดับที่ดี เพราะ WEH มีผลประกอบการที่มีกำไรสูงในระดับ 4-5 พันล้านบาทต่อปี จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) ทำให้มีกำไรและรายได้ที่สม่ำเสมอในระยะยาว อีกทั้งการลงทุนซื้อ DEMCO ยังส่งผลดีทำให้บริษัทจะมีฐานะความเป็นเจ้าของและมีสัดส่วนการถือหุ้นของ WEH เพิ่มขึ้นอีกด้วย
วิษณุกล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่บริษัทปรับกลยุทธ์ธุรกิจเข้าไปลงทุนธุรกิจใหม่ๆ คือธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2563-2564) ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดจนมีผลประกอบการที่ขาดทุน
“ปีนี้เป็นปีแรกที่ NUSA เริ่มลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน มี วินด์ เอนเนอร์ยี่ เป็นบริษัทแรก และมี DEMCO เป็นบริษัทที่สองซึ่งมีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่จะเข้ามาช่วยสร้าง Synergy ธุรกิจได้เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย”
ขณะเดียวกัน ประเมินว่า หลังจากในปีนี้บริษัทจะเริ่มทยอยรับรู้กำไรบางส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน แต่ยังเป็นตัวเลขที่ยังไม่มาก ส่วนในปี 2566 จะเป็นปีแรกที่บริษัทรับรู้กำไรเต็มปีเป็นปีแรกจากธุรกิจพลังงานทดแทนจากการลงทุนใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด กับ บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) ส่งผลให้ในปี 2566 จะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นมาขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ประมาณ 30% โดยยังไม่นับรวมกับที่มีการขยายเพิ่มการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกในอนาคต โดยเปลี่ยนแปลงจากปีนี้อสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่ยังสร้างกำไรหลัก
นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 35-40% ของกำไรในปีหน้า โดยมาจากการเติบโตของกำไรของ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด กับ DEMCO ที่มีการขยายการลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมถึง NUSA การขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนใหม่ หรือเข้าลงทุนดีลในบริษัทด้านพลังงานทดแทนที่เน้นบริษัทที่มีผลประกอบการและผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงเพิ่มอีกด้วย
วิษณุกล่าวต่อว่า ใน 2565 คาดว่าบริษัทจะรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3 พันล้านบาท เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.65 พันล้านบาท หลังธุรกิจเริ่มทยอยฟื้นตัวดีขึ้นซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทสามารถทำรายได้รวมแล้วอยู่ที่ 1.42 พันล้านบาท อีกทั้งปัจจุบันยังมียอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์รอโอน (Backlog) ที่มีมูลค่าราว 700-800 ล้านบาท จะทยอยโอนรับรู้เป็นรายทั้งหมดในช่วงปลายปีนี้และต้นปี 2566 และจะเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนจากธุรกิจพลังงานทดแทน
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าผลประกอบการรวมของ NUSA ทั้งปี 2565 จะยังมีผลการขาดทุนอยู่เล็กน้อยเพราะธุรกิจอสังทรัพย์กับ Wellness กำลังอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด แต่ในธุรกิจการท่องเที่ยวคือ โครงการเลเจนด์ สยาม (Regend Siam) ธีมพาร์กเชิงวัฒนธรรม เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ยังไม่สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้ปกติ ซึ่งดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย บริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับแผนธุรกิจแบ่งขายหุ้น บริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม ออกไปในช่วงต้นปีนี้ให้กับพาร์ตเนอร์สัดส่วน 50% จากเดิมที่บริษัทถือหุ้นเองสัดส่วน 100% ส่งผลให้มีเงินกลับเข้ามาบางส่วนและรับรู้ผลการขาดทุนที่ลดลง
อีกทั้งบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเริ่มลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน แต่เชื่อว่าธุรกิจพลังงานทดแทนจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 2566 มีโอกาสจะเริ่มพลิกกลับมามีกำไร รวมทั้งจะช่วยให้รายได้รวมของบริษัทในปีหน้าจะเติบโตได้อีก 25-30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวมที่ 3 พันล้านบาท
ส่วนแผนการลงทุนธุรกิจหลัก ปัจจุบันคือการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของปี 2566 เบื้องต้นมีแผนทยอยลงทุนพัฒนา 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท มีที่ตั้งอยู่ในโครงการ ณุศา มายโอโซน บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งบ้าน โรงแรม และรีสอร์ต รวมทั้งยังบริการด้านสุภาพกับศูนย์สถาบันสุขภาพพานาซี สปอร์ตคลับ