×

เลือกตั้ง 2566 : จากเอกชนชื่อดังสู่ชาติพัฒนากล้า ‘โน้ต นันทพันธ์’ ขอโอกาสเป็น ส.ส. เข้าสภาพัฒนาด้านสาธารณสุข

โดย THE STANDARD TEAM
12.05.2023
  • LOADING...
โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

THE STANDARD สัมภาษณ์ โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เบอร์ 9 เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ บางรัก และดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) พรรคชาติพัฒนากล้า เบอร์พรรคคือเบอร์ 14

 

โน้ต นันทพันธ์ เล่าว่า มีความสนใจการเมืองมาตั้งแต่วัยเด็ก เรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ เคยทำงานบริษัทยาอย่าง Pfizer และได้ทำการประสานงานหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้เห็นปัญหาและโอกาสแก้ไขหากได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร โดยการสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรก

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ก่อนมาทำงานการเมือง

 

ผมอายุ 38 ปี เรียนจบวิศวะและเศรษฐศาสตร์การเมือง เริ่มทำงานในบริษัทยาข้ามชาติ ทำงานทั้งในไทยและต่างประเทศ จนเป็นผู้บริหารด้านนโยบายและสาธารณสุขของบริษัทยา Pfizer ตำแหน่งเป็นผู้อำนายการด้านนโยบายและสื่อสารองค์กรของบริษัท Pfizer

 

มีส่วนร่วมผลักดันวัคซีนโควิดและยารักษาโควิด รวมถึงเวชภัณฑ์ในการใช้ตรวจโควิดเข้ามาในประเทศช่วงวิกฤตโควิดตั้งแต่ปี 2563

 

ผมทำบริษัทยามายาวนาน จึงเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการประสานงานภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือในการจัดหาทั้งวัคซีนโควิด นำเข้ายารักษาโควิดที่มีคุณภาพให้คนไทยทั้งประเทศ รวมถึงเรื่องการจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยวิกฤต และช่วยพัฒนาระบบการส่งยาให้ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง

 

ตรงนี้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะช่วงโควิด พอหมดวิกฤตโควิดก็ยังประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพราะทำงานใกล้ชิดกัน

 

เมื่อออกมาจากบริษัท Pfizer ก็ทำงานต่อมาด้านกรรมาธิการที่ช่วยเรื่องการเข้าถึงการรักษา ขยายนโยบายเรื่องการส่งยาไปถึงบ้านกรณีผู้ป่วยมีอาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงในโรคอื่นด้วย ให้ประชาชนสามารถนำบัตรประชาชนไปแสดงเพื่อรับยาที่ร้านยา

 

ตอนเป็นผู้บริหาร Pfizer ยังไม่ได้อยู่พรรคการเมือง ผมเป็นจิตอาสาที่ทำงานในหมวกผู้บริหารบริษัท Pfizer ช่วยจัดหาเตียง วัคซีน เนื่องจากเป็นภาคเอกชนที่เป็นที่รู้จัก ตอนลงพื้นที่ช่วงโควิดที่ผ่านมาได้ช่วยคนในชุมชนต่างๆ ค่อนข้างเยอะ ช่วยเรื่องความเป็นอยู่ของเขา

 

ตอนนั้นทำหลายเขต รวมถึงเขตที่ลงเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็ทำในเขตรอบนอก เช่น ลาดกระบัง เพราะช่วงโควิดตอนนั้นยังไม่คิดเรื่องลงการเมือง ไม่ได้คิดเรื่องเขต เพิ่งตัดสินใจลงการเมืองเมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนทางการเมืองต่างจากคนอื่น เพราะไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองมาก่อนล่วงหน้าเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

 

ตอนนั้นเริ่มทำจากไลน์กรุ๊ปเพื่อนที่เป็นแพทย์ เภสัชกร ร้านขายยา ผมเคยนั่งแพ็กยาถึงตีสามตีสี่ เรียกแมสเซนเจอร์วิ่งไปส่งยา

 

เนื่องจากทำงานบริษัทยาก็จะมีเพื่อนเป็นเภสัชกรเยอะ จึงทำกันเอง เป็นเครือข่ายเพื่อนจากจุฬาฯ และศิลปากร เพราะเพื่อนร่วมงานเรียนจบศิลปากรกันเยอะ

 

ผมเข้าเรียนวิศวะ จุฬาฯ ปี 2545 แต่สนใจการเมืองจึงไปเรียนเศรษฐศาสตร์การเมืองที่จุฬาฯ ตอนนั้นก็มีความสนใจว่าทำไมเสื้อเหลือง-เสื้อแดง จึงมีแต่ละแนวคิด แล้วรัฐเลือกดำเนินนโยบายต่างๆ ด้วยแนวคิดอะไร อยากเข้าใจวิธีคิดของภาครัฐและมุมมองของนักการเมืองมากขึ้น จึงเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ตัดสินใจอย่างไรจึงออกมาทำงานการเมือง

 

เมื่อทำงานกับภาครัฐเยอะๆ ก็เข้าใจระบบการทำงานของภาครัฐเอง และด้วยความที่เราทำงานกับทางต่างประเทศเยอะ ก็จะเห็นโมเดลดีๆ ในต่างประเทศมากมายที่ทำให้เราเห็นว่าจริงๆ แล้วประเทศไทยถือว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดี แต่เราเชื่อว่าทำได้ดีกว่านี้

 

เราสามารถเปลี่ยนแปลงกลไกภาครัฐบางอย่างที่ทำให้ประชาชนมีสวัสดิการที่ดีกว่านี้ได้อีกเยอะ หรือได้รับความสะดวกมากกว่านี้

 

ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะให้หมอทำงานหนักเนื่องจากคนไข้ไปรวมอยู่ที่โรงพยาบาล ขณะที่คนไข้บางคนไม่มีความจำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาลเลย จึงมีวิธีการจัดการแบบอื่น เช่น จัดทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ไปที่บ้าน ในกรณีที่คนไข้เป็นผู้สูงอายุ รักษาโรคต่อเนื่อง มีอาการคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อ อสม. เช็กอาการแล้วส่งข้อมูลในระบบออนไลน์ให้แพทย์ดูข้อมูล และแพทย์สามารถสั่งยาเหมือนเดิมได้ถ้าอาการคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วส่งยาไปที่บ้าน คนไข้ไม่ต้องมาโรงพยาบาล

 

แล้วโรงพยายาลควรไว้สำหรับรองรับผู้ที่มีอาการรุนแรงและต้องใช้เตียง ในอนาคตควรเป็นแบบนี้ เหมือนในต่างประเทศที่โรงพยาบาลมีไว้สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น

 

นอกจากนั้น ในช่วงที่ทำงานมาผมเป็นคนผลักดันนโยบายขยายขอบการรักษาในเรื่องการเพิ่มวัคซีน HPV หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เป็นคนผลักดันเองในการดำเนินนโยบายฉีดวัคซีนฟรีให้เด็กผู้หญิงอายุ 7-14 ปีฟรีทั้งประเทศ

 

ตอนนั้นทำงานเอกชน ผลักดันโดยเขียนโครงการ คุยกับกรมควบคุมโรค ทำโครงการไปที่ สปสช. กระทรวงสาธารณสุข งบประมาณโดยกระทรวงสาธารณสุข

 

ส่วนเราเป็นผู้เริ่มโครงการให้เขาเห็นความสำคัญกับนโยบายนี้จนเขาดำเนินนโยบายได้

 

เรามีประสบการณ์การทำงานมาแบบนี้ ประสบการณ์ทำงานจากภาคเอกชน เคยทำงานกับภาครัฐ เข้าใจกลไกการทำงานของภาครัฐ และมีความสามารถประสานธุรกิจกับภาคเอกชนได้

 

ผมคิดว่าเราสามารถดำเนินนโยบายด้านการเมืองที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ไม่เพียงสวัสดิการรักษาพยาบาล แต่เป็นเรื่องแหล่งเงินทุน เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้นได้ด้วย

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ทำไมเลือกพรรคชาติพัฒนากล้า

 

เหตุผลที่เลือกพรรคชาติพัฒนากล้า ผมมองว่าพรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคที่เราโฟกัสเรื่องเศรษฐกิจและในเรื่องการสร้างโอกาส ซึ่งจะแตกต่างจากพรรคใหญ่ๆ ที่เน้นเรื่องประชานิยม

 

ผมเชื่อว่าคนทำงานต้องการที่จะมีโอกาส ถ้าแต่ละคนได้โอกาสที่เท่าเทียมกัน เขาจะสามารถเพิ่มศักยภาพของตัวเอง โดยสามารถแข่งขันและพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมกับประเทศต่างๆ ได้

 

เน้นเรื่องเศรษฐกิจ ด้วยความที่เราทำงานด้านสาธารณสุขมา ผมมองเห็นความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการรักษาพยาบาล หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อันนี้เป็นประเด็นสำคัญ

 

เวลาลงพื้นที่เจอประชาชนทั้งชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง กับโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนเงินกู้ ปัญหาแบล็กลิสต์เครดิตบูโร บางคนเคยพลาด ผ่อนไม่ครบ จ่ายไม่หมด แล้วติดเครดิตบูโร ทำให้เขาเสียโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เงินกู้ เสียไปอีก 3 ปี จึงต้องการแก้ปัญหานี้

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ข้อดีของพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งเป็นพรรคใหม่ หากเทียบกับหลายพรรคที่มีอายุ มีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากกว่า

 

พรรคเรา คุณกรณ์ จาติกวณิช และ คุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี แยกตัวมาจากพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะด้วยแนวคิดและการทำงานที่ต้องการความเป็นอิสระมากขึ้น

 

พรรคกล้าคือพรรครวมกลุ่มคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ พอมาสู่การเลือกตั้งที่เป็นการเมืองใหญ่ มีโอกาสรวมกับพรรคชาติพัฒนา จึงกลายเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า

 

แม้จะถูกมองเป็นพรรคเล็ก ยังไม่มีความเป็นสถาบันทางการเมือง แต่ภายในพรรคมีความพยายามที่จะสร้างความเป็นสถาบันทางการเมืองของเรา เพื่อให้ค่อยๆ โตขึ้นไป

 

เราพยายามผลักดันแนวคิดคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานการเมือง กล้าที่จะให้ผู้สมัครแต่ละคนหรือแม้แต่สมาชิกในพรรคแสดงความเห็น มีส่วนร่วมในการคิดนโยบาย แล้วก็ดำเนินนโยบาย ผมมองว่าพรรคให้โอกาสตรงนี้ค่อนข้างเยอะ ในการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิก เพื่อขับเคลื่อนหรือผลักดันนโยบายพรรค ให้โอกาสค่อนข้างเยอะ จนผมสามารถผลักดันนโยบายได้หลายอย่าง

 

เป็นข้อดีของการเป็นพรรคใหม่และเป็นพรรคเล็ก ซึ่งผมมองว่าถ้าเรายังทำงานการเมืองต่อไป ส่วนนี้ของพรรคก็จะแข็งแรงขึ้น สมาชิกในพรรคมีโอกาสทำงานในการเมืองมากขึ้น

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 1 กทม. เขตนี้มีความเฉพาะอย่างไร

 

เหตุผลที่เลือกเขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ บางรัก และดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) ด้วยความที่เขต 1 เป็นเขตที่มีอัตลักษณ์ค่อนข้างสูง แล้วเป็นเหมือนหัวแหวนเพชรของ กทม. มีพระอารามหลวงสำคัญเยอะมาก มีพระบรมมหาราชวัง มีหน่วยงานภาครัฐ สถานที่สำคัญเยอะมากในเขตนี้ แต่ก็มีชุมชนจำนวนมากที่มีปัญหาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเช่นกัน

 

ทำอย่างไรให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ เพราะคนในชุมชนเหล่านี้ก็คือคนที่ทำงานให้กับคนที่อยู่ในเขตนี้ แต่ความเป็นอยู่คุณภาพชีวิตเหมือนคนอีกโลกหนึ่ง มีความยากลำบากมาก

 

พรรคชาติพัฒนากล้าเรารวมผู้บริหารที่เป็นผู้บริหารจริงๆ ทำงานภาคเอกชนจริงๆ แล้วตัดสินใจลาออกเพื่อมาลงเลือกตั้งครั้งนี้ ในกลุ่มผมประมาณ 3-4 คน บางคนเป็นผู้จัดการกองทุน บางคนเป็นผู้บริหารซัมซุง เรามีมุมมองด้านธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราเห็นว่าอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น หรืออะไรที่จะทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น เรามีแนวความคิดแบบนี้จริงๆ จึงมีมุมมองที่แตกต่างจากพรรคที่เน้นแจกเงิน เพราะสิ่งเหล่านั้นใครก็พูดใครก็คิดได้ แต่จะทำอย่างไรที่จะหาเงินมาทำสิ่งนี้

 

และอีกส่วนหนึ่งมองว่าคนที่เป็นวัยทำงานอย่างพวกเราเชื่อเรื่องของโอกาสจริงๆ ผมไม่ได้เป็นครอบครัวที่มาจากบ้านใหญ่ ไม่ได้มาจากตระกูลที่มาจากนักการเมือง

 

ผมเป็น 1 ใน 4 ที่มาจากผู้บริหารซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่

 

พรรคให้โอกาสได้ทำนโยบายหลังจากคุณกรณ์ชวนมา เนื่องจากพรรคทำเรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังไม่มีใครทำนโยบายด้านสาธารณสุข

 

คุณอรรถวิชช์กับคุณกรณ์จึงชวนมาให้ช่วยคิดนโยบายด้านสาธารณสุข ผมจึงมาทำนโยบายด้านสาธารณสุขให้พรรคเมื่อ 4-5 เดือนที่แล้ว

 

พอเริ่มทำนโยบาย ทางพรรคก็อยากให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ดู จึงลงเขต 1 ซึ่งเราเกิดที่เขตปทุมวัน ซอยต้นสน หลังสวน จึงคลุกคลีกับตรงนี้อยู่แล้ว จึงลงเขตนี้ ซึ่งบ้านก็อยู่เขตนี้

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

เรื่องที่อยากผลักดันในพื้นที่เขต 1 กทม. หากได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

 

ด้วยความเฉพาะของพื้นที่ แม้ผลโพลพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยจะมาแรง แต่ด้วยพื้นที่เป็นเมืองเก่า เป็นชุมชนเก่า มีความยึดโยงกับสถาบันค่อนข้างสูงด้วยความใกล้ชิดกับพระองค์ท่านด้วย จึงมองว่าสิ่งที่ควรส่งเสริมคืออัตลักษณ์ของเขต เขต 1 มีชุมชนที่ทำงานหัตถกรรม ประติมากรรม มีวัฒนธรรมดั้งเดิม การหล่อพระ ทำบาตร งานเกี่ยวกับการผลิตเงินและทอง ได้คุยกับกรมศิลปากรว่าจะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

 

หากชุมชนไม่ได้รับการส่งเสริม สภาพเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่เขาก็มีรายได้ลดลง เพราะไม่ได้รับการส่งเสริม แปลว่ามูลค่าในชุมชนลดลงแล้ว รัฐจึงต้องทำหน้าที่ส่งเสริมให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง สร้างสตอรีให้มูลค่าของเขาเพิ่มมากขึ้น พอเพิ่มมากขึ้นความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น

 

บทบาทที่ ส.ส. ทำได้ จะเป็นการประสานงาน ช่วงที่ผ่านมาเมื่อได้ประสานงานช่วงโควิดก็ได้ชื่อว่าเป็นทูตสาธารณสุข โดยการเรียกของผู้อำนวยการเขต ซึ่งคุณกรณ์ก็เรียกผมว่าทูตสาธารณสุข คำว่าทูตคือการที่เราสามารถประสานแก้ไขปัญหาให้เขาได้ เช่น เจอถนนเป็นหลุมบ่อ ก็ประสาน กทม. สำนักงานเขต เมื่อแก้ได้ชาวบ้านก็แฮปปี้ ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ลืมเขา ประธานชุมชนเกือบทุกชุมชนมีเบอร์มือถือที่สามารถโทรหาผมได้ตลอดเวลา

 

ถ้ามีตำแหน่ง ส.ส. ก็น่าจะทำหลายอย่างได้สะดวกขึ้น เพราะหน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานเขต กทม. ก็จะมีการประชุม มีกลไกอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นก็จะสามารถรับฟังปัญหาชาวบ้านและชุมชนได้โดยตรง และสามารถผลักดันหรือหางบประมาณที่จะลงกับชุมชนได้เยอะ เป็นไปตามกฎหมาย หากเป็น ส.ส. ก็สามารถทำงานร่วมกับสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพื่อหางบประมาณลงมาในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงเรื่องทำถนน แต่จะทำเรื่องส่งเสริมอัตลักษณ์ของเขตให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากต้นทุนเดิมในเขต สามารถดึงนักท่องเที่ยวได้

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

เรื่องที่อยากผลักดันในรัฐสภา

 

เรื่องทุน เรื่องโอกาส เพราะการที่คนจะเข้าถึงแหล่งทุนหรือโครงสร้างพลังงาน เป็นเรื่องสำคัญ พรรคให้ความสำคัญกับโครงสร้างพลังงานและการเงิน ตลาดทุน เนื่องจากคุณกรณ์เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

โครงสร้างพลังงาน ค่าไฟแพง รัฐบาลสามารถลดราคาได้ทันที แต่ทำไมยังมีพรรคใหญ่ๆ บางพรรคบอกว่ารอเป็นรัฐบาลแล้วจะลด ทั้งที่สามารถลดได้ทันที

 

เรื่องเงินทุน ตอนนี้แต่ละแบงก์ไม่มีการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยเลย จะกู้หรือฝากแบงก์ไหนก็ได้ดอกเบี้ยเท่ากัน แล้วเราจะมีหลายแบงก์ไปทำไม

 

ทำไมแบงก์เอกชนถึงไม่มีการแข่งขันกันเลย เลือกแบงก์ไหนก็เท่ากันไปหมด เพราะว่าตลาดทุนถูกคุมอยู่ ไม่มีการแข่งขันอย่างเสรี ขณะที่ในประเทศที่เจริญแล้วจะมีการแข่งขัน จะเข้าไปผลักดันทำกฎหมายตลาดเงินตลาดทุน จะต้องมีการแข่งขันที่มากกว่านี้ เปิดเสรี หรือกรณีคนที่มีเครดิตน้อย มีปัญหาไม่สามารถกู้เงินสถาบันการเงินได้ ทำให้ต้องไปกู้สินเชื่อนอกระบบ ซึ่งดอกเบี้ยสูง เพราะเขาไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเราสามารถทำให้อยู่ในระบบ รัฐควรเข้ามากำกับดูแล เปิดสถาบันการเงินมากขึ้น ให้มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่มีแต่แบงก์ใหญ่ๆ อย่างเดียว แล้วปล่อยให้คนเข้าไม่ถึงแบงก์ ไปกู้นอกระบบ ซึ่งตรงนี้ไม่ถูกต้อง

 

ต้องมีกฎหมายที่สามารถมีธนาคาร มีสถาบันการเงินที่แข่งขันกันได้จริง เพื่อให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างอิสระ หรือได้โอกาสอีกครั้ง กรณีติดเครดิตบูโร เพื่อให้ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะอยู่ในวัยทำงาน

 

นอกจากนั้นเรื่องสิทธิด้านสุขภาพประเทศไทยมี 3 สิทธิ คือ

 

  1. สิทธิข้าราชการ
  2. สิทธิประกันสังคม
  3. สิทธิบัตรทอง

 

ทุกคนมี 3 สิทธินี้อย่างใดอย่างหนึ่ง

 

ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เป็นข้าราชการก็มีสิทธิบัตรทอง ขณะที่สิทธิประกันสังคม ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับแรงงาน การว่างงาน กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือผู้ว่างงานในอนาคต

 

ปัญหาคือบุคลากรของประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ไม่เพียงพอและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านระบบสาธารณสุข จึงทำให้เวลาดำเนินนโยบายเกี่ยวกับประกันสังคม เขาจะเอานโยบายของ สปสช. ไปปรับใช้ เพราะฉะนั้นถ้ามองถึงความคุ้มค่า กลายเป็นประกันสังคม อาจจะได้รับสิทธิน้อยกว่าบัตรทองด้วยซ้ำ

 

ซึ่งปัญหานี้ถ้าผมได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในสภาหรือเข้าไปผลักดันนโยบาย ผมคิดว่าจริงๆ แล้ว ประกันสังคมควรที่จะต้องให้บริการทางด้านสาธารณสุขให้ดีกว่าบัตรทอง เพราะประชาชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจ่ายเงินสมทบต่อเดือน ในขณะที่บัตรทองไม่ต้องเสียอะไรสักบาท

 

คนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจึงควรได้รับสิทธิไม่น้อยไปกว่าบัตรทอง

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

มองอย่างไร ปัญหาผู้อยู่ในระบบประกันสังคมได้สิทธิบางอย่างไม่เท่าสิทธิบัตรทอง

 

ผมฟันธงได้เลย ปัญหาเพราะบุคลากรของประกันสังคมที่สังกัดกระทรวงแรงงาน เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจระบบสาธารณสุขที่มากเพียงพอ ในขณะที่ สปสช. ดูแลเรื่องบัตรทอง มีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานคลุกคลีเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล การให้บริการประชาชนเรื่องสาธารณสุขอย่างลึกซึ้งและทำมาอย่างยาวนาน จึงทำให้เขามีความรู้และมีศักยภาพมากเพียงพอที่จะขยายบริการให้ประชาชนในวงกว้าง

 

ในขณะที่ประกันสังคมอาจจะมีโฟกัสหรือการจัดลำดับความสำคัญเป็นอย่างอื่น ซึ่งทำให้คนวัยทำงานซึ่งโดยอายุไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง ไม่ได้เป็นโรคที่ซับซ้อน เพราะอยู่ในวัยกำลังหาเงินสร้างรายได้ ดังนั้นควรจะเป็นเรื่องการส่งเสริมป้องกันมากกว่าการรักษาด้วยซ้ำ

 

ผมคิดว่าตรงนี้ถ้ามีโอกาสคงจะต้องผลักดันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินสมทบเอง หรือเรื่องการขยายการส่งเสริมและป้องกัน อันนี้จะต้องมากขึ้น

 

ถ้าไม่ได้เป็น ส.ส. ในรอบนี้

 

จะทำงานในพรรคต่อไป และมีธุรกิจที่ต้องทำต่อไป ซึ่งการทำงานของเราปัจจุบันก็เป็นการทำงานเพื่อสังคมส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ผมทำเรื่องพัฒนาระบบ ไม่ว่าจะเป็น Telemedicine ทำเรื่องแพลตฟอร์มตรงนี้ ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานในภาคการเมืองอยู่แล้ว ทำงานระบบสาธารณสุขให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น ทำระบบภาครัฐให้ซับซ้อนน้อยลง ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้น ถ้าไม่ได้รับเลือกในครั้งนี้ก็ยังมีงานที่จะทำต่อไปในอนาคตเกี่ยวกับระบบดิจิทัลกับระบบสาธารณสุข

 

ส่วนตัวคิดว่าจะทำงานการเมืองต่อไป โดยมีความเชื่อว่าด้วยการทำงานของเราในปัจจุบัน เรามีส่วนช่วยให้ประชาชนดีขึ้นได้จริงๆ จากประสบการณ์การทำงานของเรา มีส่วนช่วยทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้เรามีกำลังใจ

 

เวลาเดินออกไปในพื้นที่แล้วเราเห็นเขาดีขึ้นกว่าเดิม หรือแม้แต่ตอนที่เราเป็นผู้กล้าปลดหนี้ เขากำลังจะล้มละลายช่วงโควิด ไม่มีเงินทุน เราไปหาแหล่งเงินทุนให้เขาอยู่ในไฟแนนซ์ที่ดี จนปัจจุบันเขากลับมาฟื้น มีรายได้เข้าร้านหลายล้านบาทต่อเดือน จากวันที่เขาร้องไห้ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร แล้วทุกวันนี้เขาดีขึ้น เราก็รู้สึกว่าการทำงานของเราก็มีค่า ทำให้เรามีแรงที่จะทำต่อไป

 

ถึงแม้กระแสเราอาจจะไม่ได้แรงเท่าพรรคใหญ่หรือพรรคอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันการเมืองไทยกลายเป็นเรื่องกระแสไปแล้ว ผมไม่แน่ใจว่ามันควรเป็นแบบนี้หรือเปล่านะครับ อันนี้คือความเห็นส่วนตัวไม่ใช่ความเห็นพรรค คือรู้สึกว่าใครมีกระแสในโซเชียลดี มีคลิปวิดีโอดี ดราม่าดี ก็เทไปไหลมา จนไม่ได้มองว่าคนที่ทำงานจริงเขาทำงานมาแล้วเป็นอย่างไร หรือทำให้คนลืมภาพว่าจริงๆ เราต้องการผู้แทนแบบไหนที่จะเข้ามาทำงานให้กับคนในพื้นที่จริงๆ

 

โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์

 

ครั้งแรกลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. สังกัดพรรคชาติพัฒนากล้า

 

ผม โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 1 เบอร์ 9 พรรคชาติพัฒนากล้า เบอร์พรรคคือเบอร์ 14

 

ขอโอกาสให้ผมในฐานะที่เป็นคนทำงานจริง เคยประสานจัดหาวัคซีน จัดหายาในช่วงโควิดที่ผ่านมา ได้ทำงานเรื่องสาธารณสุขต่อไป เพิ่มโอกาสการเข้าถึงและพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ทัดเทียมประเทศที่เจริญแล้ว

 

รวมถึงเพิ่มโอกาสประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การรื้อระบบโครงสร้างเศรษฐกิจ รื้อระบบโครงสร้างพลังงาน เพื่อให้ประชาชนมีสินค้าที่ราคาถูกลง มีงานที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X