จากนิสัยขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก เวลาซ้อมก็มักจะนั่งเงียบๆ อยู่หลังห้อง แถมยังไม่ค่อยอัปเดตความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียให้ทุกคนรู้จัก ทำให้ในช่วงแรกๆ ชื่อของ กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล หรือ เนย BNK48 ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักถ้าเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆ จนกระทั่งแฟนคลับหลายคนยกฉายา ‘ตัวละครลับ’ ให้เธอไปครอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เด็กสาวขี้อายที่พกความหวังว่าอยากทำอะไรบางอย่างที่จริงจังให้กับชีวิต ก็ตัดสินใจวางความขี้อายไว้ข้างหลัง และเริ่มปรับปรุงตัวเองเต็มรูปแบบทั้งการร้อง การเต้น การแสดงออก รวมถึงการถ่ายรูป กิจกรรมที่เธอบอกว่าไม่ถนัดเป็นอันดับหนึ่ง จนรอยยิ้มและอาการโก๊ะๆ ตลกๆ ของเธอค่อยๆ ‘ตก’ เหล่าโอตะจนจำนวนแฟนคลับของ ‘คุณอ๊บ’ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความน่ารักที่ทำให้เธอโดดเด่นเป็นที่รู้จัก แต่เธอยังซ่อนความพยายามอย่างหนักไว้ใต้คมเขี้ยวเล็กๆ ที่เป็นเสน่ห์ จนได้รับโอกาสสำคัญในการเป็นดับเบิลเซ็นเตอร์คู่กับมิวสิค BNK48 ในเพลง วันแรก (Shonichi) เพลงให้กำลังใจเนื้อหาดีๆ ที่พยายามบอกทุกคนว่า
‘คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’
และจากการที่ THE STANDARD ได้นั่งพูดคุยกับเธอร่วมหนึ่งชั่วโมง ถึงความตั้งใจของเด็กหญิงเนยที่แสนขี้อายและร้องไห้งอแงเมื่อโดนบังคับให้กินผัก ก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายใครจริงๆ
เนยเริ่มเป็นคนขี้อายมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดเลยว่าเนยเป็นคนขี้อายมาก โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เริ่มเข้ามาเป็นสมาชิก BNK48
ตั้งแต่เด็กๆ เลย เนยเป็นคนชอบเปิดเพลงในยูทูบแล้วก็แกะท่าเต้นตามมาตลอด แต่จะไม่ชอบเต้นให้ใครดู เวลาวันรวมญาติ พี่น้องคนอื่นก็จะเต้นกันสนุกสนานแต่เนยจะนั่งอยู่กับพ่อแม่ไม่กล้าแสดงออกให้ญาติคนอื่นดู ถ้าไม่ใช่โดนบังคับให้เต้นในงานโรงเรียนเราก็จะไม่อยากเต้นเลย คือทำได้นะ แต่ไม่กล้า อย่างตอนป.3 ที่ขึ้นเวทีครั้งแรกก็เป็นคนคิดท่าเต้นให้เพื่อนด้วย เพราะเราชอบอยู่แล้ว เคยคิดที่จะไปเรียนเต้นแบบจริงจังด้วย แต่ตอนนั้นต้องเข้าม.ปลาย พอดี แล้วเนยเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ก็เลยเลือกที่จะไปเรียนทางวิชาการเพิ่มมากกว่า แล้วก็ทิ้งการเต้นไปเลย
นอกจากการเรียนแล้ว กิจกรรมที่เนยชอบทำมากที่สุดคืออะไร
ดูยูทูบ ไร้สาระเนอะ (หัวเราะ) เมื่อก่อนเนยชอบศิลปินเกาหลี เมื่อก่อนชอบวง EXO โดยเฉพาะโอเซฮุนมาก ช่วงที่ติดหนักๆ ก็จะดูทุกอย่างที่มีซับไตเติลภาษาไทยของบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ปทั้งหมด แต่ดูเพราะชอบเฉยๆ ยังไม่ได้มีความคิดว่าเราอยากเป็นแบบนั้น แค่มีความหวังลึกๆ ว่าเราอยากมีเพอร์ฟอร์แมนซ์สวยๆ เท่ๆ แบบนั้นบ้าง แต่ไม่เคยได้พยายามเพื่อทำอะไรแบบนั้นอย่างจริงจังสักที
ยกเว้นตอนม.5 ที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ แต่ก็เป็นเพราะโดนบังคับให้เป็น ซึ่งพอได้เป็นแล้วเราก็ทำได้นะ ติดแค่ไม่กล้าอย่างเดียวเลย กลัวว่าแสดงออกไปแล้วคนจะมองเรายังไง เราจะทำได้ดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการถูกบังคับอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเนยในตอนนั้นก็ได้นะ (หัวเราะ)
มีเรื่องอะไรบ้างที่เนยถูกบังคับแล้วรู้สึกว่าไม่โอเคที่สุด
กินผัก (หัวเราะ) ล่าสุดเนยโดนบังคับให้กินผักตอนถ่ายรายการ แล้วก็ร้องไห้ออกมาตรงนั้นเลย คือไม่ได้ร้องไห้เพราะต้องกินผักนะ แต่เนยไม่ชอบสถานการณ์ที่ถูกกดดันให้ต้องกินสิ ต้องทำแบบนั้นสิ พอถูกกดดันมากๆ ก็เลยร้องไห้ออกมาเลย (หัวเราะ)
เริ่มไม่กินผักตั้งแต่เมื่อไร
พอเริ่มรู้เรื่องก็ไม่กินแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แม่บอกว่าตอนเด็กๆ ยังบดผักให้กินได้อยู่เลย แต่พอโตขึ้นมาหน่อย แค่แม่แอบสอดไส้ผักเข้ามาในข้าวก็จะคายออกมาโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะหัวหอมนี่ไม่ได้เลยจริงๆ แค่ได้กลิ่นก็ไม่ไหวแล้ว นอกจากนั้นก็จะมีพวกเห็ด แตงกวา มะเขือเทศ แครอตที่หั่นเป็นฝอยบางๆ ที่เนยพอจะกินได้ เพราะคิดว่าถ้าไม่กินผักแล้วจะไม่ดีกับร่างกาย
ทำไมตอนขึ้นม.ปลาย ถึงตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะพ่อกับแม่อยากให้มาทางนี้ แล้วก็รู้สึกว่าชอบวิทยาศาสตร์มากกว่าอันอื่น แต่ไม่ได้ชอบทั้งหมด อย่างคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์นี่ไม่ชอบเลย เคมีได้บ้างบางวิชา แต่ชอบชีววิทยามากที่สุด ก็เลยเลือกที่จะเรียนต่อในสาขาจุลชีววิทยาอุตสาหกรรม (คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)
เริ่มต้นคือเนยชอบศึกษาร่างกายของมนุษย์ การทำงานของอวัยวะต่างๆ เส้นเลือดแดงอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แล้วทุกเซลล์ ทุกอวัยวะเล็กๆ แต่ละชิ้นก็ทำหน้าที่ต่างๆ ประกอบกันเป็นร่างกาย ซึ่งเนยคิดว่ามันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก พอเข้ามาเรียนสาขาจุลชีววิทยาที่เน้นศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกเชื้อรา จุลินทรีย์ แบคทีเรีย ก็ยิ่งได้เห็นความหัศจรรย์เพิ่มขึ้นมาอีก จากทั่วไปที่เคยมองว่าเชื้อราหรือแบคทีเรียเป็นสิ่งไม่ดี โดยที่ไม่รู้เลยว่าเชื้อราบางตัวอย่าง Penicillium คือตัวต้นของยาปฏิชีวนะอย่าง Phenoxymethylpenicillin ที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
ความคิดที่อยากเป็นศิลปินกลับมาร้องและเต้นอีกครั้งกลับมาตั้งแต่เมื่อไร หลังจากเคยทิ้งการเรียนเต้นไปตั้งแต่ช่วงม. ปลาย และการเรียนวิทยาศาสตร์ก็กำลังไปได้ดี
ก่อนมาเป็น BNK48 เลย ก่อนหน้านั้นเนยอยู่ในลูปเดิมของชีวิตมาตลอด คือตั้งใจออกไปเรียน เย็นกลับมาดูยูทูบ ทำอยู่แค่นี้จนรู้สึกว่าทำไมชีวิตเรามันดูไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรที่ทำเพราะรู้สึกจริงๆ พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงเรื่องที่เนยไม่ค่อยกล้าแสดงออก ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ปี บางคนอาจจะคิดว่ายังไม่เยอะ แต่เนยคิดว่าเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากลองทำอะไรที่จริงจังกับการใช้ชีวิตให้มากกว่านี้ ก็เลยลองไปสมัครตามงานต่างๆ รวมทั้ง BNK48 ก็เปิดรับสมัครในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร เพราะไม่เคยติดตามวงรุ่นพี่ AKB48 มาก่อน แต่เห็นคำว่าร้องกับเต้นก็เลยลองสมัครดู
ความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างที่ว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
อยู่ๆ มันพุ่งขึ้นมา เนยเป็นคนที่ชอบคิดเรื่องความตายมาตั้งแต่เด็กๆ คิดว่าคนเราต้องตายสักวันหนึ่ง แล้วถ้าเกิดมาทั้งทีแต่ไม่ได้ลองทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะจากโลกนี้ไปจะเป็นยังไง แต่ก็ได้แค่คิดๆ เอาไว้ตลอด จนอายุ 20 ปีอย่างที่บอก ถึงได้มาคิดกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตเป็นเด็กเต็มที่มาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำอะไรเป็นหลักแหล่ง หรือต้องทำอาชีพนั้นอาชีพนี้
เวลาถูกผู้ใหญ่ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร คำตอบของเนยคือ…
ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นหมอ พอโตขึ้นรู้สึกว่าสมองไม่ได้ ก็อยากเป็นทนายความเพราะชอบดูโคนัน พอโตขึ้นมาอีกก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นหลายอย่างมาก แต่เป็นความฝันตามมาตรฐานที่หลายคนอยากจะเป็น เพราะดูดี มีพื้นฐานมั่นคง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบหรือว่าสนใจจริงๆ เพราะเราดันไม่กล้าที่จะแสดงในสิ่งที่เรารักอย่างการเต้นออกมา
ตอนนี้พูดได้หรือยังว่า BNK48 คือความฝันของเราอย่างเต็มตัวแล้ว
ใช่ค่ะ พูดได้เต็มปากเลย จากคนที่ไม่รู้จักว่า BNK48 คืออะไร คิดแค่ว่าคงร้องเพลงแล้วก็เต้นแบบศิลปินรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เราเคยเห็น แต่พอเข้ามาจริงๆ แล้วมันหนักมาก ต้องถ่าย Photo Set มีงานจับมือ ไปไลฟ์ที่ตู้ปลา มีกฎเกณฑ์หลายอย่างที่เราไม่เคยรู้ เช่น ห้ามถ่ายรูปกับแฟนคลับ ที่เรารู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องปฏิเสธ การต้องซ้อมอย่างหนัก เจอเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ผิดหวัง เสียใจ จนกระทั่งเราผ่านมาเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร แต่พอรู้ตัวอีกที ทุกอย่างใน BNK48 ก็กลายเป็นสิ่งที่เนยรักและหวงมากๆ เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งผู้บริหาร คุณครู พี่ๆ ทีมงานทุกคน เราช่วยกันตั้งแต่ศูนย์จริงๆ เราไม่อยากให้ใครทำมันเสียหายไป ความฝันตอนนี้ก็คืออยากทำให้วง BNK48 แข็งแรงขึ้นไปมากกว่านี้
เนยต้องทำอะไรบ้างเพื่อความฝันที่จะทำให้วง BNK48 แข็งแกร่งได้แบบที่ต้องการ
อย่างแรกคือตอนนี้เนยได้รับหน้าที่เป็นเซ็นเตอร์เพลง วันแรก (Shonichi) คู่กับน้องมิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์ ก็อยากทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด และเพลงนี้คือเพลงที่สำคัญกับวงรุ่นพี่ AKB48 และมีความหมายในการให้กำลังใจที่ดีมาก เพราะฉะนั้นถึงแม้เพลงนี้จะไม่ได้ฟังแล้วฟังติดหูเหมือนเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย แต่ก็ต้องทำหน้าที่ส่งพลัง ส่งความพยายามตรงนี้ไปให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อย่างน้อยให้คนที่ฟังรู้สึกได้รับกำลังใจกลับไปจากเพลงของเรา
ท่อนที่เราชอบมากๆ ในเพลงนี้คือ ‘คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’ แต่ในขณะเดียวก็มีหลายคนที่รู้สึกว่าชีวิตของเขาโดนความพยายามทำร้ายมาเยอะมาก อยากบอกอะไรกับคนที่คิดแบบนั้นบ้างไหม
ความพยายามมันมีหลายอย่างนะ บางครั้งต้องใช้เวลานานเพราะว่ามันอาจจะไม่ถึงเวลาของเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยก็คือ ตัวเนยเองจากตอนที่เข้าวงมาแรกๆ เป็นเด็กขี้อาย นั่งหลังห้อง แทบไม่มีคนรู้จัก ขนาดพี่ๆ ทีมงานบางคนยังไม่รู้เลยว่าคนนี้อยู่ในวง BNK48 ด้วยซ้ำ แต่เนยก็พยายามในแบบของเนยมาตลอด ตั้งใจซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐาน ยังไม่มีคนไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กมาก แค่มีคนชมว่าเราเต้นสวย แล้วเรารู้สึกดีใจ สำหรับเนยแค่นั้นก็หมายความว่าความพยายามของเราสำเร็จแล้วนะ
รู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่วง BNK48 เริ่มโปรโมต และเนยคือหนึ่งในคนที่แฟนคลับพูดเหมือนกันว่าถูกทำร้ายด้วยรูปโปรไฟล์ใบแรกมากที่สุด
รูปนั้นมันก็ดูแย่จริงๆ (หัวเราะ) แต่พูดจริงๆ เลยว่าเนยไม่เคยรู้สึกโทษทีมงานเลยนะ เพราะอย่างแรกเนยเป็นคนถ่ายรูปไม่ขึ้นอยู่แล้ว อย่างที่สองคือเนยเป็นคนขี้อาย การถ่ายรูปคือสิ่งที่ไม่ชอบเป็นอันดับหนึ่ง แล้วเนยจะเครียดมากทุกครั้งที่ต้องถ่าย Photo Set หรือรูปอะไรก็ตาม ยิ่งพยายามทำให้เป็นธรรมชาติก็ยิ่งเกร็ง ไหนจะไม่รู้มุมของตัวเองอีก ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น ถ้าคิดในมุมนี้ กฎที่ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปเซลฟีกับแฟนคลับอาจจะดีกับตัวเนยที่สุดแล้วก็ได้ (หัวเราะ)
มีวิธีในการเอาชนะความขี้อายอย่างไร ในฐานะ ‘ไอดอล’ ที่ต้องแสดงออกต่อหน้าผู้คนมากมาย
อย่างแรกเลยคือต้องมีจุดมุ่งหมาย เราเข้ามาเป็น BNK48 เพราะต้องการทำอะไรบางอย่างที่ต้องจริงจัง เมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้วก็ต้องเอาชนะทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้น เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับการซ้อมร้องซ้อมเต้นเพื่อเอามาใช้ในการแสดงออกให้ดีที่สุด ถ้ายังมัวแต่ขี้อาย หลบอยู่ข้างหลัง เราจะเข้ามาตรงนี้ทำไม เวลาเพลงจบหรืออยู่ข้างหลังเวทีอาจจะยังอายอยู่บ้าง อันนั้นไม่เป็นไร แต่เมื่ออยู่บนเวที อยู่ต่อหน้าคนอื่น เราขอทำทุกอย่างให้เต็มที่ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
จากคนที่ไม่เคยรู้จักวง BNK48 มาก่อน ในตอนนี้เราเข้าใจบทบาทของตัวเองในฐานะไอดอลว่าอย่างไรบ้าง
จากตอนแรกที่เข้ามา เนยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากการเต้นอย่างเดียว พอมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเรา แต่ยังมีแฟนคลับอีกหลายคนที่รอเราอยู่ เช่น การออกไปแสดงบนเวทีแล้วทำให้คนดูมีความสุขแล้วยิ้มได้ หรือเวลาเรายิ้ม โบกมือ ทักทาย ถามเขาว่ากินข้าวหรือยัง มันเป็นเรื่องแค่นี้เองนะ แต่ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิต บางคนจะส่งข้อความมาบอกว่า วันนี้รู้สึกดาวน์มากเลย แต่พอเห็นรูปเราแล้วเขามีกำลังใจมากขึ้น อันนี้คือความสุขที่เราได้รับจากการเป็นไอดอล
ในความหมายหนึ่ง คำว่าไอดอลคงหมายถึงคนที่คอยมอบกำลังใจให้กับคนอื่น เราไม่ใช่คนที่เพอร์เฟกต์ แต่พวกเรามีอะไรบางอย่างที่ส่งความสุขให้กับคนอื่นต่อได้ อย่างเนยก็ไม่ใช่คนที่สวยมาก แต่มีคนบอกว่าเวลาเนยยิ้มแล้วมีเสน่ห์ เราก็จะพยายามยิ้มบ่อยๆ อาจจะมีบางครั้งที่โดนเตือนว่ายิ้มหรือเล่นกับแฟนคลับมากเกินไป เพราะบางทีเวลาขึ้นรถเนยชอบโบกมือให้แฟนคลับ ซึ่งทำให้เขายิ่งเข้ามาใกล้รถของเรามากขึ้นและทำให้เกิดอันตราย แต่ในความคิดตอนนั้นคือบางคนเขามารอเราหลายชั่วโมง เพื่อมาเจอเราไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ เขาเหนื่อยกว่าเราเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้เจอเขาเราก็อยากตอบแทนอะไรเขาให้มากที่สุด
ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษบ้างไหมในวันที่ BNK48 ใกล้จะมีรุ่นที่สองเข้ามาทุกที
ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย เพราะคิดว่าคนที่ต้องเตรียมตัวหนักกว่าคือน้องๆ ที่กำลังเข้ามา พวกเรามีเวลาฝึกร้องฝึกเต้นกันมานานแล้ว แต่รุ่นที่สองมีเวลาน้อยกว่ามากในการเต้นให้ได้อย่างพวกเรา และเนยคิดว่าสิ่งสำคัญนอกจากการเตรียมตัวคือเราควรได้เจอกันก่อน เพราะแน่นอนว่าเรามาจากคนละครอบครัว ขนาดรุ่นที่หนึ่งอยู่ด้วยกันมานานก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน กับรุ่นสองที่ยังไม่รู้จักกันมาก่อนก็ต้องมีการละลายพฤติกรรมเข้ามาเป็นอันดับแรก ไม่ใช่คิดว่าจะต้องแข่งขันกันในฐานะว่าฉันคือรุ่นหนึ่ง รุ่นสองนะ เพราะพอเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วทุกคนคือ BNK48 เหมือนกัน
เวลาเห็นแฟนคลับของเราไปหวีดผู้สมัคร BNK48 รุ่นสองแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
โอ๊ย เห็นบ่อย (หัวเราะ) พูดตรงนี้เลยว่าเนยเป็นคนหวงแฟนคลับ ก็คือเนยหวงจริงๆ นะ เพราะเราจะใช้คำว่าหวงกับอะไรที่มีความสำคัญกับเรามากๆ และแฟนคลับคือคนที่สำคัญกับเนย โดยเฉพาะแฟนคลับที่เขาอยู่กับเรามาตลอด คนที่สนับสนุนตั้งแต่วันที่เนยยังเป็นเด็กหลังห้อง ขี้อาย แต่เขาก็คอยให้คำแนะนำให้กำลังใจมาตลอด อย่างงานจับมือวันแรกที่แฟนคลับของเรายังเป็นกลุ่มเล็กๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ใหญ่นะ (หัวเราะ) แต่เขาก็พยายามสลับกันมาต่อแถวเพื่อไม่ให้เราเหงาหรือรู้สึกไม่ดี เขาคือคนที่เป็นห่วงความรู้สึกของเรามากๆ ก็เลยอยากให้เขาอยู่กับเรา ไม่อยากเสียเขาไปแม้แต่คนเดียว เวลาเห็นเขาไปหวีดคนอื่นก็เลยจะหวงขึ้นมานิดหนึ่ง แต่เป็นแค่อารมณ์สะกิดใจนิดหน่อย ไม่ถึงกับโกรธ แต่รีบๆ กลับมากันนะ
(ตัวอย่างการแสดงอาการ ‘หวง’ แฟนคลับของเนย)
เนยเคยพูดว่าตั้งแต่มาเป็น BNK48 แล้วทำให้รู้สึกรักคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น มีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เรารู้สึกได้มากถึงขนาดนี้
เนยรักพ่อแม่มากอยู่แล้วนะ (หัวเราะ) แต่มันยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นพอได้มาเป็น BNK48 จริงๆ เช่น เราต้องซ้อมแล้วเลิก 3-4 ทุ่ม แล้วต้องตื่นตี 4 ไปงานตอนเช้าต่อ พ่อก็จะเป็นคนตามไปรับไปส่งตลอด บางทีเขากลับไปนอนแล้ว พอซ้อมเสร็จเขาก็ต้องรีบออกมารับ แล้วตอนเช้าเขาก็ต้องตื่นไปทำงานตามปกติอีก เลยยิ่งรู้สึกว่าคนเป็นพ่อแม่สามารถทำให้ลูกได้มากจริงๆ เนยเคยถามพ่อตอนนั่งรถกลับด้วยกันว่า พ่อเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า แล้วพ่อก็บอกว่า การที่เขาไปรับไปส่งเราทำให้สบายใจมากกว่าที่จะให้เรานั่งรถกลับเอง เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้เราปลอดภัย ยิ่งได้ฟังแบบนั้นยิ่งรู้สึกว่า โห เราขอบคุณเขามากเท่าไรก็ไม่พอ
สำหรับการแสดงในเธียร์เตอร์ของ BNK48 ที่กำลังจะเริ่มเร็วๆ นี้ อยากให้เนยเป็นตัวแทนของเพื่อนๆ เล่าให้ฟังหน่อยว่า แฟนคลับที่มาดูจะได้เห็นอะไรที่พิเศษไปกว่างานอื่นๆ บ้าง
เวลาไปดูคอนเสิร์ตของ BNK48 ตามงานอีเวนต์ต่างๆ มันเหมือนเรานัดกันเพื่อออกไปเจอกันข้างนอก แต่การแสดงที่เธียร์เตอร์จะเหมือนการชวนให้ทุกคนเข้ามาดูการแสดงในบ้านของพวกเราเอง ด้วยขนาดของโรงละครที่ไม่ใหญ่ ทำให้ไม่ใช่แค่แฟนคลับจะเห็นพวกเราชัดขึ้น แต่พวกเราก็จะได้เห็นแฟนคลับทุกคนชัดขึ้นเหมือนกัน มันจะได้เห็นรายละเอียดของการแสดง สีหน้า การร้อง และเมสเสจที่พวกเราแสดงออกไปในมุมที่ชัดยิ่งขึ้น เนยไม่รู้จะบอกว่ามันคือการแสดงที่ดีที่สุดได้หรือเปล่า แต่บอกได้ว่าจะเป็นการแสดงที่อบอุ่นที่สุด เพราะพวกเราจะได้เจอหน้ากัน ได้พูดคุยกันแบบใกล้ชิดจริงๆ
- นอกจากการถูกบังคับให้กินผักแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เนยไม่ชอบถูกบังคับมากๆ คือการให้เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว และการลงรูปในโซเชียลมีเดียที่เนยไม่ถนัดเอามากๆ ถึงขนาดช่วงแรกๆ เธอไม่ยอมลงรูปกิจกรรมหรือตัวตนให้ใครเห็นเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ และเป็นหนึ่งในที่มาของฉายา ‘ตัวละครลับ’ ที่ได้รับมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ด้วย
- เธียร์เตอร์ที่ใช้ในการแสดงของ BNK48 เป็นโรงละครขนาดความจุ 350 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ มีกำหนดเปิดตัววันแรกในวันที่ 26 เมษายนนี้