วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 2 ภายหลัง รังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายกรณีการเดินทางกลับไทยของบิดานายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีทำดีลกับปีศาจเพื่อให้บิดาไม่ต้องติดคุก และได้พักรักษาตัวในชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ต่อมา แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงในกรณีชั้น 14 โดยระบุว่า ทราบว่าท่านสมาชิกฝ่ายค้านที่อภิปรายเรื่องนี้ เราก็มีความคิดเห็นที่ต่างกัน เพราะว่าท่านก็เคยไปมีความเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จังหวัดภูเก็ต แต่อย่างไรก็เชื่อมั่นว่า ท่านคงไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกจากตอนนั้น มาอภิปรายตนเองในวันนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้พูดไปในรายละเอียดหมดแล้ว ขอชี้แจงประเด็นในฐานะของลูกสาวคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่คุณพ่อกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ตนเองยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเลย ไม่อยากให้ท่านอภิปรายให้เกิดความสับสน เหมือนกับว่าตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว และมีอำนาจในการสั่งข้าราชการ หรือสั่งใครใดๆ
“ดิฉันเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอนนั้นไม่มีอำนาจใดๆ เลย และในเรื่องของความถูกต้อง หรือระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนที่มีหน้าที่รักษากฎระเบียบ เขาก็ต้องทำแบบนั้น อย่างที่บอกว่าการอภิปรายอะไรแบบนี้ ก็ต้องเห็นค่าของผู้ที่รักษากฎหมาย คนที่เป็นข้าราชการด้วย เพราะการพูดแบบนี้ เหมือนเป็นการด้อยค่าไปด้วยในตัว” แพทองธารกล่าว
ความอยุติธรรมทำครอบครัวแน่นแฟ้น
แพทองธารระบุด้วยว่า เชื่อเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าลูกคนไหนก็ตาม ที่เห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ที่ผ่านมาเป็นเกือบ 20 ปี ไม่มีใครอยากให้เกิด และสถานการณ์ที่ผ่านมาในรอบ 20 ปีของประเทศ เราทุกท่านก็ต้องทราบดีถึงความยากลำบากที่เรา และพี่น้องประชาชนได้ประสบมาในเรื่องของความอยุติธรรม
“ถ้าจะหาใครสักคนที่เผชิญความไม่ยุติธรรม ดิฉันมั่นใจว่า ดร.ทักษิณ คือหนึ่งในคนท็อปๆ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ท่านถูกยึดอำนาจทางการเมือง ถูกอายัดทรัพย์สิน ถูกลอบสังหารหลายรอบ ตอนนั้นดิฉันอยู่มหาวิทยาลัย เด็กอายุ 18-19 คนหนึ่งที่ทราบว่ามีคนตั้งใจมาสังหาร ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีหรอกค่ะ แต่ในวันนั้นเอง ก็ไม่ทราบด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแค่ข่าว ต้องรออีกสักพักหนึ่งว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต้องลุ้น และไม่ใช่ครั้งเดียว มีหลายครั้งเป็นสิ่งที่เกิดความเจ็บปวดในครอบครัว” แพทองธารระบุ
นอกจากนี้ ตนเองและพ่อยังต้องถูกพลัดพรากไปไกลกันอยู่คนละประเทศเสมอ เวลาผ่านมาสักพักก็พยายามที่จะเดินทางไปหาคุณพ่อบ่อยๆ ก็จะได้ไม่คิดถึงกันมากจนเกินไป ก็ไปมาตลอด จนกระทั่งช่วงโควิด-19 ที่การเดินทางยากลำบากมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นท้องลูกคนแรกด้วย ในขณะนั้น เดินทางกลับมาก็ท้อง 7 เดือน พอดีก็มีการเสียน้ำตา เพราะไม่ทราบว่าโควิด-19 จะหยุดเมื่อไร
“แน่นอนว่าความไม่ยุติธรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้ครอบครัวที่รักกันอยู่แล้ว ก็สนิทกันมากขึ้น เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน และเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันเติบโตขึ้นมาอย่างมีสติ และทราบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรไม่ควร และต้องเห็นใจซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ได้ฝึกฝนตัวเองมาอยู่ในเรื่องของความลำบาก ก็มีข้อดีที่ซ่อนอยู่ในนั้นเสมอตนเองเชื่ออย่างนั้น” แพทองธารกล่าว
ไม่ว่าใครนำรัฐบาล ทักษิณก็จะกลับไทย
แพทองธารกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีสมาชิกกล่าวหาว่าที่คุณพ่อได้กลับมา เพราะมีการดีลกับปีศาจผ่านการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ โดย 100% ไม่ใช่ความจริงเลย เพราะนี่คือการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มรูปแบบว่าจะกลับมา ด้วยความที่รู้จักคุณพ่อ ก็ไม่อยากให้ท่านกลับมาแล้วต้องติดคุก หรือต้องถูกจำกัดที่ทาง เป็นห่วงจึงบอกว่าไม่เป็นไร อยู่เมืองนอกเราก็เจอกันได้ แต่ท่านก็บอกเลยว่า อยากใช้เวลาที่เหลือของท่าน เพราะปีนี้ก็อายุ 75 ปีแล้ว อยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย อยากอยู่เมืองไทย เพราะชีวิตท่านเติบโตที่เมืองไทยมาโดยตลอด ท่านมีความรัก และห่วงพี่น้องประชาชนอย่างมาก คิดอะไรก็จะคิดเรื่องเศรษฐกิจเพื่อให้พี่น้องประชาชนรวย
“ดิฉันก็ฟังท่าน และรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะรู้สึกว่าคนเราเจอเรื่องมากมายขนาดนี้ ก็ยังคิดเรื่องดีๆ กับคนอื่นได้ ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังบวกเยอะๆ ในใจ ซึ่งคิดว่าดิฉันก็ได้อะไรมาจากตรงนี้เช่นกัน” แพทองธารกล่าว
แพทองธารกล่าวต่อไปว่า ถ้าวันนั้นทางพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจับมือกันสำเร็จ และตั้งรัฐบาลได้ ท่านเป็นผู้นำรัฐบาล ส่วนพวกเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรทักษิณก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นรัฐบาลที่จัดตั้งโดยใคร นี่คือเรื่องจริงที่คุณพ่อตั้งใจแล้วว่าจะกลับให้ได้
ส่วนเรื่องของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นสิทธิของผู้ต้องขังความ ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่ขอไม่ก้าวล่วง แต่ก็เป็นสิทธิของผู้ที่มีคดีความทุกคน ถ้าจะพูดเรื่องว่าท่านป่วย ป่วยจริง หรือป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณพ่อมีอาการป่วย การรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นสิ่งที่ชัดเจน
“ถ้าดิฉันจะบอกว่าคุณพ่อที่อายุ 70 กว่าปีป่วย ต้องได้รับการผ่าตัดในช่วงที่เป็นโควิดหนักมาก น้ำหนักลดไป 10 กว่ากิโลกรัม ทำให้เกิดอาการผมร่วง จะเชื่อหรือไม่ ถ้าจะบอกคนที่อายุ 70 ขึ้นไป ต้องผ่าตัด และการผ่าตัดไม่ได้ง่ายเหมือนคนอายุ 20-30 กว่า ท่านเชื่อหรือไม่ เพราะฉะนั้น ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะต้องอธิบายแบบไหน แต่ขณะนี้ เราก็มีการยื่นเรื่องต่อแพทยสภา เชื่อว่าผลสรุปออกมาได้ อีกไม่นานนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะยอมรับ เพราะถามจากดิฉัน และดิฉันตอบไป ท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี ซึ่งก็ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร” แพทองธารกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบนายทักษิณในหน่วยงานต่างๆ ในฐานะลูกเอง ย่อมห่วงใยแน่นอน และในฐานะของนายกรัฐมนตรี ไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซงในหน่วยงานไหนๆ เลย อย่าดูถูกข้าราชการไทย อย่าดูถูกระบบข้าราชการของไทย ยุคสมัยนี้ทุกอย่างตรวจสอบได้ จึงไม่เคยแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้เลย
“ตลอดการอภิปราย ท่านสมาชิกเรียกร้องให้ดิฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสิทธิที่ทุกท่านในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านทำไม่ได้ คือขอให้ดิฉันลาออกจากความเป็นลูกสาวหรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ดิฉันลาออกไม่ได้” แพทองธารกล่าว
แพทองธารยืนยันว่า พร้อมทำงานให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกจังหวัด ทุกที่ เพราะสวมหมวกของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ และสุดความสามารถแน่นอน ในขณะเดียวกันในฐานะของลูกสาว ตนเองก็คือลูกสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพูดคำนี้ด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่สามารถพูดได้ และแน่นอนว่าขอให้ทุกท่านดู และพิสูจน์ที่ความสามารถและความตั้งใจของตนเองในการทำงานอย่างเต็มที่ ในฐานะของนายกรัฐมนตรี หากจะมีการอภิปราย หรือวิจารณ์ใดๆ ขอให้วิจารณ์เรื่องการทำงาน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าทั้งต่อสภาแห่งนี้ และต่อประเทศของเรา
ยืนยันอดีตนายกฯ ต้องไร้อภิสิทธิ์
จากนั้น รังสิมันต์จึงได้ลุกขึ้นชี้แจงระบุว่า ในฐานะที่อภิปรายเรื่องกรณีชั้น 14 และถูกกล่าวหาว่าเป็นพันธมิตรที่จังหวัดภูเก็ต เข้าใจนายกรัฐมนตรี ว่าคงมีประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่เจ็บปวด จึงขอให้กำลังใจท่านในช่วงที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็คือที่ผ่านมา วันนี้พวกเรารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
รังสิมันต์ยืนยันว่า ประเด็นเรื่องพันธมิตรนั้น ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพหรือภูเก็ต ตนเองอายุ 14 ปีในตอนที่พ่อของท่านถูกรัฐประหาร มีโอกาสเรียนที่โรงเรียนทวีธาภิเษก กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าไม่เคยเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตร เพราะไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ และความคิดของกลุ่มพันธมิตร หากจะมีความคิดไหนที่ใกล้เคียงที่สุดคือ กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ที่เขานิยามตนเองว่า ‘เสื้อแดง’
“แต่ผมไม่เคยนิยามตนเองว่าเป็นคนเสื้อแดง เพราะตะขิดตะขวง ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อของท่านทำหลายเรื่อง ผมคือตัวผม หลังการรัฐประหารครั้งที่ 2 ยึดอำนาจจากคุณอาของท่าน ผมเป็นคนแรกๆ ที่มาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ผมไม่เคยเข้าร่วมพันธมิตร ไม่เคยไปยึดสนามบินอะไรทั้งสิ้น” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์ ยังกล่าวด้วยว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจะไม่มีทางได้รับสิทธิพิเศษใดๆ อย่างแน่นอน
จากนั้น แพทองธารกล่าวขอบคุณสำหรับการชี้แจง ระบุว่า “ดิฉันพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ เสมอ ท่านจะได้เข้าใจว่าการถูกเข้าใจผิดเป็นอย่างไร ขอบคุณค่ะ”