วันนี้ (24 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันแรก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 ประชาชน 40 ล้านคนเดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวัง และเชื่อมั่นศรัทธาว่ารัฐสภาจะช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้ เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่า ยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคน พอกันได้แล้วกับ 9 ปีที่สูญเสียไปที่พวกเราถูกลิดรอนสิทธิพลเมืองถูกขโมยโอกาส ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก
“แต่หากใครนอนหลับไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 แล้วตื่นขึ้นมาในวันนี้ หลายคนที่นอนหลับไปคงจะแปลกใจทำไมทุกอย่างเหมือนเดิม ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงได้แนบแน่นแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว กลมกลืนไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ระบุว่า ทุกวันนี้พวกเรายังต้องเจอปัญหาแบบเดิมอยู่ ทำไมคนไทยถึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่แก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งที่การเลือกตั้งในปี 2566 ประชาชนคนส่วนใหญ่ลงมติแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง เพราะรัฐบาลชุดนี้ เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อ เพื่อให้เกิดดีลแลกประเทศ เพื่อประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรเป็นแกนกลาง และผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิดเป็นแกนรอง
ส่วนประเทศและประชาชนต้องรอไปก่อน เป็นพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาจากสมัยที่ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในสมัยของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิม เพื่อให้คนในตระกูลชินวัตร ให้บุคคลในครอบครัว ให้กลุ่มอำนาจรัฐบาล ให้บริวารเป็นรัฐมนตรี เวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่สงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะพวกเขาหลอมรวมกลายเป็นพวกเดียวกันทั้งหมด พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงกันได้
“ไม่เกี่ยวกับเจเนอเรชันหรือภูมิหลัง เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟ ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาว รู้ช่องทางการทำมาหากินผ่านระบบราชการเหมือนกัน พูดอีกอย่างคือ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมพูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก” ณัฐพงษ์ระบุ
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า สังเกตได้ไม่ยากเรื่องไหนเดินหน้าได้เร็วกว่าปกติ ไม่สนคำทักท้วง เป็นเรื่องที่ดีลผลประโยชน์ เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนเหนือการแก้ไขปัญหาชาวนา และการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน จากวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่สื่อมวลชนตั้งคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกับดีลแลกประเทศ นายกฯรัฐมนตรีถามกลับว่าตระกูลชินวัตรได้อะไร สื่อมวลชนอธิบายว่าก็ได้คุณทักษิณกลับบ้าน นายกรัฐมนตรีจึงถามกลับว่า “ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อ คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว”
ณัฐพงษ์ชี้ว่า อย่างน้อยนายกรัฐมนตรียอมรับตรงโดยนัย ไม่ปฏิเสธ ดีลจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เพื่อพาคุณพ่อกลับบ้าน เพราะหากไม่เกี่ยว สัญชาตญาณแรกของคนตอบคำถามจะต้องปฏิเสธทันที แต่นี่ไม่ปฏิเสธ
ดีลแลกประเทศยังหมายถึงเรื่องอื่น ดูเหมือนว่าประเทศจะได้อะไรที่ดีขึ้นมากกว่ารัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไป 2 ปีเป็นที่ประจักษ์ว่าสิ่งที่เหมือนจะได้กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
“อยากให้นายกรัฐมนตรีตระหนักรู้ไว้เสมอว่าการกระทำของทุกคน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ท่านจะทำตัวแบบเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง สส. ในสภาเป็นเพียงจำนวนนับให้จัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้“ ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ทิ้งท้ายว่า ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ดีลแลกประเทศ ไม่มีสองก๊กสามก๊ก แต่มีเพียงก๊กเดียวคือพรรคร่วมคณะรัฐประหารที่กลายเป็นพวกเดียวกัน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน จึงไม่อาจไว้วางใจให้แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป