NITORI Holdings บริษัทค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของญี่ปุ่น ประกาศแผนขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียอย่างรวดเร็ว เพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา
Masanori Takeda รองประธาน NITORI ฝ่ายขายต่างประเทศ แสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว โดยกล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจซบเซา (ในจีน) เพิ่งเริ่มต้น และจะดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะชะลอการซื้อเฟอร์นิเจอร์และสินค้าอุปโภคบริโภคที่คงทน”
NITORI จึงหันมาให้ความสำคัญกับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน โดยในปีงบประมาณปัจจุบันบริษัทได้เปิดร้านค้าแห่งแรกในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และมีแผนที่จะเปิดร้านค้าในมุมไบ ประเทศอินเดีย ภายในเดือนธันวาคมนี้
ภายในเดือนมีนาคม 2025 NITORI จะมีร้านค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียรวม 50 สาขา เพิ่มขึ้น 31 สาขาจากปีก่อนหน้า
Takeda กล่าวว่า ยอดขายในร้านค้าใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดย ‘ยอดขายในฟิลิปปินส์สูงกว่าเป้าหมายเดิมถึง 4 เท่า’
แม้ว่าจีนจะยังคงเป็น ‘ตลาดที่สำคัญสำหรับการเติบโต’ แต่ NITORI ก็ได้ลดราคาสินค้าลงตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว Takeda กล่าวว่า บริษัทต้องลดราคาสินค้าถึง 20% สำหรับสินค้า 70% ของทั้งหมด ซึ่งในตลาดที่เฟอร์นิเจอร์มีราคาถูกอยู่แล้ว ใครที่ขายได้ถูกกว่าก็จะอยู่รอด
NITORI จะนำบทเรียนจากการดำเนินธุรกิจในจีนมาปรับใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะควบคุมมาตรฐานขนาดร้านค้าและการจัดแสดงสินค้าเพื่อ ‘ลดความซับซ้อนและทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ’
NITORI ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 และมีร้านค้ามากกว่า 800 แห่งในญี่ปุ่น และกว่า 200 แห่งในต่างประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2024 บริษัทมีลูกค้า 340 ล้านคนทั่วโลกในปี 2023
ด้วยสโลแกน ‘นำเสนอสิ่งที่ไม่คาดคิด’ ซึ่งหมายถึงการขายสินค้าคุณภาพเยี่ยมในราคาต่ำ NITORI ได้สร้างโมเดลธุรกิจที่ควบคุมกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การวางแผนผลิตภัณฑ์ การจัดส่งวัสดุ การผลิต การจัดจำหน่าย และการขาย
NITORI ได้สร้างเครือข่ายซัพพลายเชนของตัวเองในเอเชีย รวมถึงโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ 2 แห่งในเวียดนาม และ 1 แห่งในประเทศไทย ที่ส่วนใหญ่ผลิตพรม ในภูมิภาคนี้ผู้คนจำนวนมากยังคงซื้อเฟอร์นิเจอร์จากร้านค้าในท้องถิ่น และ IKEA คู่แข่งระดับโลกก็กำลังขยายธุรกิจเช่นกัน
Takeda กล่าวว่า “ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเร่งเปิดร้านค้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ‘การจดจำของผู้บริโภค’ และการขายสินค้ามากขึ้นในร้านค้ามากขึ้นจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะนำไปสู่ผลกำไรที่มากขึ้นต่อร้าน”
Takeda มองว่า IKEA เป็นคู่แข่ง แต่การแข่งขันยังน้อยอยู่ และ NITORI มีแนวทางที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านทำเลที่ตั้ง “เราต้องการอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ในขณะที่ IKEA เป็นสถานที่ที่ต้องใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ รถไฟ หรือรถบัส”
อ้างอิง:
