×

นิโคลีน-พิชาภา ลิมศนุกาญจน์ เมื่อมิสไทยแลนด์เวิลด์ต้องตอบคำถามที่ยากที่สุด

30.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • คำถามที่คุณกำลังจะได้อ่านนี้ ส่วนหนึ่งเป็นคำถามที่มาจากการประกวดนางงามทั่วโลก ซึ่งผมได้คัดสรรแล้วว่าเป็นคำถามที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์การประกวดนางงาม ขณะเดียวกันผมก็ตั้งคำถามขึ้นมาใหม่แบบที่คิดแล้วว่าจะเป็นการวัดเหลี่ยมคมของเธอได้มากที่สุด ที่สำคัญ ผมไม่เคยบอกให้เธอรู้มาก่อนว่าจะถามอะไร ผมทำความรู้จักกับเธอไปเรื่อยๆ แล้วยิงคำถามใส่อย่างไม่ให้เธอตั้งตัว
  • “เรามีช่วงเวลาของตัวเองค่ะ มีแผนการดำเนินชีวิตของเราเอง และทุกคนก็มีความแตกต่างกัน บางคนอาจจะประสบความสำเร็จและซื้อบ้านได้ตั้งแต่อายุ 18 แต่ตอนที่อายุ 18 นิโคลยังทำงานอยู่ที่ร้านอาหารอยู่เลย เพราะฉะนั้นเราทุกคนมีไทม์ไลน์ชีวิตที่แตกต่างกัน อย่ากดดันตัวเองมากนักเลย เพราะเดี๋ยวเวลาของคุณก็จะมาถึงเอง”
  • “ไม่ว่าผลการแข่งขันที่ออกมาเราจะแพ้หรือชนะ แต่เราเป็นผู้ชนะเสมอ เพราะเราได้เรียนรู้ ถึงแพ้ เราก็ได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้แพ้ที่ดี และถ้าชนะ เราก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน”

ผมไม่ใช่แฟนนางงาม ผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่มองว่าการประกวดนางงามไม่มีอะไรมากไปกว่าการแข่งขันกันที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็เหมือนกับทุกเรื่องในชีวิต ถ้าลองเปิดใจ เราจะพบกับความงามและบทเรียนที่ซ่อนอยู่ ผมได้เรียนรู้ว่า มองลึกลงไปจากความสวยงามของเปลือกนอก ยังมี ‘ศาสตร์แห่งมง’ อยู่

 

เมื่อไปถึงเวทีนางงามแล้ว ไม่มีใครหรอกครับที่ไม่สวย มันเหมือนกับการเอาคนสวยเป็นร้อยชีวิตมายืนเรียงกัน แต่คนไหนล่ะที่จะโดดเด่นขึ้นมา พวกเธอจึงต้องสร้างสปอตไลต์ให้ตัวเอง ทุกอย่างมีการวางแผนอย่างดี ทำงานกันเป็นทีม เอาทั้งความรู้ด้านแบรนดิ้ง การตลาด พีอาร์ แฟชั่น วิทยาศาสตร์การกีฬา จิตวิทยา ปรัชญา ฯลฯ มาจับ ขัดเกลาให้นางงามคนหนึ่งเปล่งประกายมากกว่าความสวย ให้กลายเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยม มีความรู้และวิสัยทัศน์ต่อโลกที่กว้างไกล สามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประเด็นสังคมต่างๆ ได้ และนั่นแหละครับคือ ‘ศาสตร์แห่งมง’

 

ในบรรดาการแข่งขัน ผมชอบดูรอบการตอบคำถามมากที่สุด เพราะมันวัดอะไรหลายอย่างมากภายใต้เวลาไม่กี่นาทีซึ่งมีคนทั้งโลกจับตาดูอยู่ ทุกครั้งที่ดู ผมก็จะอดทึ่งนางงามไม่ได้ว่าพวกเธอร้อยเรียงคำตอบให้สวยงามและแสดงวิสัยทัศน์คมคายภายใต้ความกดดันได้อย่างไร แต่รอบการตอบคำถามนี่แหละครับที่เป็นรอบที่ ‘ฆ่า’ นางงามให้ดับคาเวทีได้มากที่สุด

 

พอได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นิโคลีน-พิชาภา ลิมศนุกาญจน์ มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2018 ผมเลยอยากทดสอบหน่อยว่าเธอจะตอบคำถามอย่างไร สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ คำถามที่คุณกำลังจะได้อ่านนี้ ส่วนหนึ่งเป็นคำถามที่มาจากการประกวดนางงามทั่วโลก ซึ่งผมได้คัดสรรแล้วว่าเป็นคำถามที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์การประกวดนางงาม ขณะเดียวกันผมก็ตั้งคำถามขึ้นมาใหม่แบบที่คิดแล้วว่าจะเป็นการวัดเหลี่ยมคมของเธอได้มากที่สุด ที่สำคัญ ผมไม่เคยบอกให้เธอรู้มาก่อนว่าจะถามอะไร ผมทำความรู้จักกับเธอไปเรื่อยๆ แล้วยิงคำถามใส่อย่างไม่ให้เธอตั้งตัว

 

เธอตอบแต่ละคำถามด้วยสติ ไม่มีท่าทีตกใจหรือกดดัน ไม่มีการบ่นว่าทำไมคำถามยากจัง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ เธอยิ้มแย้มและตอบคำถามได้หนักแน่นชัดเจน และทุกคำตอบทำให้ผมและคนในห้องแทบหยุดหายใจ และหลายครั้งเมื่อเธอพูดจบ เหล่าคนฟังในห้องพากันปรบมือให้เธอโดยไม่ได้นัดหมาย

 

ผมคนหนึ่งล่ะครับที่รอจะเห็นเธอในรอบตอบคำถาม อยากฟังคำตอบของเธอ และเป็นกำลังใจให้เธอจะไปถึงตำแหน่งมิสเวิลด์อย่างที่เธอและคนไทยทั้งประเทศฝันไว้

 

 

คุณเติบโตมาจากอเมริกา มีคำศัพท์ภาษาไทยคำไหนบ้างที่คุณชอบเป็นพิเศษ ขอสัก 3 คำ และเพราะอะไรถึงชอบ

มีคำว่า อัญมณี บริบท และ วิจารณญาณ นิโคลเข้าใจความหมายของทั้ง 3 คำเลยค่ะ คำแรก ‘อัญมณี’ นิโคลรู้สึกว่าแค่ฟังเสียงก็รู้สึกเพราะจังเลย สัมผัสได้ถึงความสวยงาม คำต่อมาคือ ‘บริบท’ สำหรับนิโคลมันไม่ใช่คำที่ใช้ทั่วไป แต่ใช้แล้วเป็นภาษาไทยแบบมืออาชีพ เอาไว้ใช้อธิบายในเรื่องวิชาการได้ เป็นคำศัพท์ที่แสดงว่าเราพัฒนาไปอีกระดับ ส่วนคำสุดท้าย ‘วิจารณญาณ’ นิโคลจะเห็นเวลาดูโทรทัศน์แล้วมีคำว่า ‘โปรดใช้วิจารณญาณในการดู’ แล้วเราก็พยายามจะพูดคำนี้ให้ได้ และก็ไม่เคยพูดได้เลย ฝึกอยู่หลายรอบ คิดอย่างเดียวว่าจะเอาให้ได้ ต้องพูดคำนี้ให้ได้

 

แสดงว่าคุณก็เป็นคนชอบการแข่งขันเหมือนกันนะครับ ขนาดคำคำเดียวคุณยังสู้เพื่อจะพูดให้ได้เสียที

ใช่ค่ะ เวลานิโคลฟังภาษาไทยแล้วไม่เข้าใจ นิโคลจะถามเดี๋ยวนั้น ต้องเอาให้เข้าใจให้ได้ จะได้มาฝึก อย่างครั้งแรกที่ฟังคำว่า ‘ลำไย’ ก็ไม่เข้าใจ ลำไยมันคือผลไม้ไม่ใช่เหรอ แล้วผลไม้เกี่ยวอะไรกับบริบทนี้ จนตอนนี้เข้าใจแล้วว่าลำไยคือสแลงนี่เอง ตอนนี้ศัพท์สแลงภาษาไทยนิโคลก็เข้าใจมากขึ้นเยอะค่ะ ที่ชอบมากๆ มีอยู่ 4 คำคือ ลำไย, บ้ง, นก, โป๊ะ (หัวเราะ)

 

มีการแข่งขันครั้งไหนที่อยู่ในใจคุณบ้าง

นิโคลเป็นนักกีฬา Color Guard เป็นกัปตันทีม ตอนนั้นเราไปแข่งขันกันแล้วเพลงที่เราเตรียมมามันไม่เล่น ทุกคนตกใจมาก นิโคลเองหัวใจตกลงไปอยู่กับพื้นแล้ว คิดว่าโมเมนต์นั้นต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นทีมเราจะแพ้ นิโคลเลยใช้การนับจังหวะเป็นตัวเลขให้ทุกคนได้ยิน และทุกคนก็แสดงต่อไปจนจบโดยไม่มีเพลง ปรากฏว่าพอแสดงจบ คนดูลุกขึ้นปรบมือให้เราดังกึกก้อง มันเป็นโชว์ที่ดีที่สุดที่พวกเราเคยแสดง แม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ชนะ สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ การเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเร็ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นิโคลเติบโตขึ้น สิ่งที่เราควรยกย่องคือ เมื่อคนล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แม้ว่าเขาจะไม่ไปถึงจุดสูงสุดอย่างที่เขาตั้งใจไว้ แต่เราควรเคารพเขาในฐานะนักสู้ที่ลุกขึ้นมาใหม่ ก้าวต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ไม่ว่าผลการแข่งขันที่ออกมาเราจะแพ้หรือชนะ แต่เราเป็นผู้ชนะเสมอ เพราะเราได้เรียนรู้ ถึงแพ้ เราก็ได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้แพ้ที่ดี และถ้าชนะ เราก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน

 

คุณเริ่มมาสนใจการเป็นนางงามได้อย่างไร

ตอนเด็กๆ เวลามีประกวดนางสงกรานต์ นางนพมาศ แม่จะเอาของกินมาล่อค่ะ บอกว่าถ้าไปประกวดแล้วได้รางวัลจะให้ขนม ให้ของเล่น จนนิโคลได้ประกวด Miss Thai New Year ที่แคลิฟอร์เนีย แล้วพบว่ามันไม่ใช่แค่การใส่ชุดสวยๆ เดินไปมา แต่เขาหาคนที่ฉลาดและมีพลังที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง นิโคลเลยต่อยอดด้วยการประกวด Miss Teen Asia USA เราก็ยิ่งเห็นว่าแต่ละเวทีมองหาคนเก่ง คนที่มีความมั่นใจ มีความรู้ เราก็เลยรู้สึกว่าคนแบบนี้มีอะไรมากกว่าความสวย ไม่ใช่คนธรรมดา นิโคลมองว่ามันเป็นการท้าทายตัวเองที่จะเป็นคนประสบความสำเร็จและยืนได้ด้วยขาของตัวเอง

 

การประกวดนางงามมันน่าตื่นเต้นอย่างไรสำหรับคุณ

อย่างแรกเลยคือมันเป็นการแข่งขัน มันคือการมีเป้าหมายแล้วเราพยายามที่จะไปให้ถึงหรือเอาชนะให้ได้ ขณะเดียวกันสิ่งที่นิโคลชอบในการแข่งขันคือ ความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ซึ่งมันทำให้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าผลการแข่งขันที่ออกมาเราจะแพ้หรือชนะ แต่เราเป็นผู้ชนะเสมอ เพราะเราได้เรียนรู้ ถึงแพ้ เราก็ได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้แพ้ที่ดี และถ้าชนะ เราก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นทางไหนมันก็ดีทั้งนั้น

 

ช่วยอธิบายให้คนที่ไม่สนใจนางงามเลยเข้าใจว่า การประกวดนางงามสำคัญกับโลกนี้อย่างไร ทำไมยังต้องมีการประกวดอยู่

มันคือเวทีที่ให้คนได้พูดในสิ่งที่เขาคิด และเป็นวิธีการที่ทำให้คนสนใจเรื่องต่างๆ เช่นสิ่งที่นิโคลทำอยู่ตอนนี้กับเด็กออทิสติก คนรอบตัวบางคนไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าออทิสติกคืออะไร แต่เมื่อนิโคลอยู่ในตำแหน่งนี้ ผู้คนก็เริ่มสนใจประเด็นนี้มากขึ้นค่ะ พวกเขาช่วยกันทำวิจัย หาข้อมูลต่างๆ และเมื่อพวกเขาช่วยนิโคลหาข้อมูล พวกเขาก็ได้เรียนรู้ไปด้วยในตัว มันคือการเริ่มต้นจากคนใกล้ตัว และพลังของมันจะค่อยๆ มากขึ้น จนในที่สุดเราจะได้ช่วยสังคมของเราให้ดีขึ้นค่ะ

 

ผมทราบมาว่าคุณมีน้องชายเป็นออทิสติก คุณได้เรียนรู้อะไรจากการมีน้องชายคนนี้บ้างครับ

เขาสอนให้นิโคลใจเย็นขึ้น นิโคลเป็นคนใจร้อนค่ะ เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจเขาและก็น้อยใจ เพราะเราคิดแต่ว่าทำไมเราไม่ได้รับการสนใจเท่าน้องชาย แต่พอโตขึ้นมา นิโคลได้เรียนรู้ว่าเราต้องมีความอดทน เพราะเขาต้องการเวลามากกว่าเราในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่อเขาช้า นิโคลก็เรียนรู้ที่จะช้าเพื่อไปพร้อมกับเขา เขามองเห็นโลกในมุมที่แตกต่างจริงๆ ค่ะ เป็นมุมที่เรียบง่าย ใสบริสุทธิ์ แบบที่ไม่มีความเลวร้าย และไม่มีอะไรทำร้ายเขาได้

 

นิโคลคิดว่าสังคมในปัจจุบันนี้ เป้าหมายของเราคือการแข่งขันกับคนอื่น เราต้องการจะเป็นที่หนึ่ง การที่เราจะไปให้ถึงจุดนั้น เราต้องต่อสู้กับผู้คนมากมาย นิโคลคิดว่าเหตุผลที่เราควรมีเด็กออทิสติกในสังคมก็เพราะเขาเข้ามาในชีวิตเรา และเขาไม่เคยทำร้ายเรา เขาคือคนที่จะอยู่เคียงข้าง และนิโคลรู้ว่านาธานจะอยู่เคียงข้างตลอดการประกวด

 

 

ช่วยเล่า 3 จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของคุณให้ฟังหน่อยครับ

อย่างแรกคือ ตอนที่เรียนจบจากไฮสคูล นิโคลรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว นิโคลเริ่มทำงานเต็มเวลาในร้านอาหาร มันเป็นช่วงชีวิตที่นิโคลรู้ว่านี่ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆ มันเป็นชีวิตที่เป็น Routine ไปทำงาน ไปเรียน กลับบ้าน แล้วก็วนมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นิโคลต้องการ เลยย้ายมาเมืองไทย และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่สอง เพราะนิโคลตัดสินใจย้ายออกมาจากอเมริกาซึ่งอยู่มา 18 ปี มาเมืองไทยเพื่อทำตามความฝัน นั่นคือการประกวดนางงาม ซึ่งมันเสี่ยงมาก นิโคลมาอยู่คนเดียว มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก

 

จุดเปลี่ยนที่ 3 คือ ตอนที่นิโคลตกรอบจากการประกวด นิโคลไม่ติดรอบ 10 คนด้วยซ้ำ มันเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ เพราะนิโคลย้ายชีวิตมาอยู่ที่ไทย และต้องรอ 6 เดือนเพื่อเตรียมตัวประกวด และนิโคลรู้ว่าคนเราต้องทำงานหนักเพื่อไปให้ถึงความฝัน แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง จุดเปลี่ยนมันเกิดขึ้นตอนที่นิโคลมองตัวเองในกระจกและบอกว่า “ลุกขึ้นมาได้แล้ว เธอมีอะไรมากไปกว่าการเป็นคนขี้แพ้ที่นอนจมอยู่กับเตียง” มันทำให้นิโคลเติบโตขึ้นมากภายในเวลาไม่กี่เดือน นิโคลได้รู้ว่าเมื่อเราล้ม เราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เราอยู่ก้นเหวแล้ว มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วล่ะค่ะ นิโคลเลยมาประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ลุยมันดูสักตั้ง ในเมื่อมันยังเป็นความฝันของเราอยู่ และนิโคลจะลองทำมัน

 

คุณได้เรียนรู้อะไรจากความผิดหวังครั้งใหญ่ในตอนนั้น

หลังผิดหวังจากการประกวดในครั้งนั้น พอมาประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ นิโคลทำงานหนักกว่าเดิมเป็น 10 เท่าในการเตรียมตัวเพื่อมาประกวด เพราะนิโคลมีไฟ มีความอยากจะสู้มากกว่าเดิม บางครั้งเราต้องล้มก่อนเพื่อที่จะลุกขึ้นให้แข็งแกร่งกว่าเดิม

 

ตอนนี้มีประเด็นทางสังคมอะไรที่คุณรู้สึกว่าน่าเป็นห่วงอยู่ และมันส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง

Stereotype ค่ะ มันครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น เหยียดชาติพันธุ์ เหยียดเพศ ฯลฯ ยกตัวอย่างนะคะ มันมีความคิดเหมารวมว่าเด็กออทิสติกเป็นคนก้าวร้าว พอน้องชายของนิโคลไปโรงเรียนก็เลยโดนทำร้าย เพราะคิดว่าน้องจะไปยิงคนอื่น นั่นก็เริ่มต้นมาจากการเหมารวมเหมือนกัน หรือการเหมารวมว่าเฟมินิสต์คือผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาอยากจะดีกว่าผู้ชาย แต่มันไม่ใช่ เรายืนหยัดในความเป็นเฟมินิสต์ เพราะเราเชื่อในความเท่าเทียม เราต้องการให้มีคนได้ยินเสียงของเรา และเราเชื่อว่าเรามีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น

 

พูดถึงเรื่อง Stereotype แล้ว คุณเคยมีประสบการณ์โดนเหมารวมบ้างไหมครับ

มีค่ะ สมัยเรียนนิโคลจะถูกเรียกว่าเป็น ‘Chinky Asian Girl’ หรือ ‘The Nerdy Asian Girl’ เพราะภาพของคนเอเชียจากสื่อคือเป็นเด็กเนิร์ด และนิโคลไม่ชอบถูกแปะป้ายแบบนั้น ไม่ใช่เพราะนิโคลไม่ชอบเนิร์ดนะคะ แต่ที่จริงแล้วนิโคลไม่ได้เก่งขนาดนั้น นิโคลไม่ได้ A ทุกตัวแบบนั้น นิโคลคือเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่พอมีภาพว่าเด็กเอเชียต้องเนิร์ด ต้องฉลาด นิโคลก็ได้รับแรงกดดันไปด้วย และมีความคาดหวังว่าเด็กเอเชียจะต้องเรียนอย่างเดียวไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย ซึ่งนิโคลคิดว่ามันเป็นการเหมารวมคนเอเชียที่ไม่ถูกต้องนัก

 

ผมจำได้ว่าเคยมีมุกตลกอยู่อันหนึ่ง เป็นการแบ่งเกรดการเรียนเป็น F, D, C, B, A และขั้นบนสุดคือ Asian
ใช่ค่ะ มันจะมี A หรือ A+ คือ Asian ส่วน B คือ Basic, C คือ C’mon! You can do better และ D คือ Don’t go home! (หัวเราะ) ฟังดูมันตลกนะคะ แต่ถ้าไปอยู่ในจุดนั้นที่คนคาดหวังหรือแปะป้ายให้เราว่าต้องเป็นแบบที่เขาคิดไว้ มันทั้งน่าเศร้าและเครียดอยู่ตลอดเวลานะคะ

 

 

ปีนี้คุณอายุ 20 แล้ว อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่คุณได้เรียนรู้ตอนอายุ 20
การยอมแพ้ต่อตัวเองคือสิ่งที่แย่ที่สุด เพราะคุณไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง คนอื่นๆ มองเห็นศักยภาพในตัวคุณ แต่มันอยู่ที่คุณจะเอามันออกมาให้คนอื่นเห็นได้ไหม นิโคลพูดอยู่หลายครั้งว่า “อย่ายอมแพ้ต่อตัวเอง คุณทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ และต่อให้ล้มกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็จงอย่ายอมแพ้”

 

ในฐานะรุ่นพี่ คุณมีอะไรอยากบอกกับนักเรียนที่กำลังจะเรียนจบถึงการใช้ชีวิต

อย่างแรก ใช้เวลาให้มากขึ้นกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และจงสนุกกับชีวิตวัยรุ่น เพราะชีวิตของเราผ่านไปเร็วมากค่ะ มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เยอะแยะที่นิโคลคิดถึงอย่างการเต้นรำ การมีปาร์ตี้ไอศกรีม มันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เคยมองข้าม แต่นิโคลอยากบอกว่า “ใช้เวลาของพวกคุณ เพราะทุกคนมีเวลาของตัวเอง” เรามีช่วงเวลาของตัวเองค่ะ มีแผนการดำเนินชีวิตของเราเอง และทุกคนก็มีความแตกต่างกัน บางคนอาจจะประสบความสำเร็จและซื้อบ้านได้ตั้งแต่อายุ 18 แต่ตอนที่อายุ 18 นิโคลยังทำงานอยู่ที่ร้านอาหารอยู่เลย เพราะฉะนั้นเราทุกคนมีไทม์ไลน์ชีวิตที่แตกต่างกัน อย่ากดดันตัวเองมากนักเลย เพราะเดี๋ยวเวลาของคุณก็จะมาถึงเอง

 

ความบริสุทธิ์คือสิ่งที่บอกคุณค่าของผู้หญิงอยู่หรือเปล่า

ไม่เลยค่ะ นิโคลไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเป็นคำจำกัดความของผู้หญิงได้ นิโคลคิดว่าพรหมจรรย์เป็นความคิดที่เราต้องการเก็บผู้หญิงไว้ในกรอบ อยู่ในระเบียบ แต่เมื่อเราทำลายกฎนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเราเป็นผู้หญิงร่าน แต่เราแค่ออกจากกรอบที่ผู้คนสร้างไว้ให้ และเรากำลังข้ามขีดจำกัดหรือสิ่งที่ตีตราตัวเราอยู่ มันไม่เกี่ยวว่าเธอไม่บริสุทธิ์แล้วเธอจะไม่มีคุณค่า ความบริสุทธิ์วัดคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้ ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงคุณค่าของเธอได้นอกจากตัวเธอเอง สิ่งที่เธอทำ การกระทำของเธอ และสิ่งที่เธอพูด นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่บอกคุณค่าของผู้หญิง ไม่ใช่ความบริสุทธิ์

 

คุณคิดว่าผู้ชายเรียนรู้อะไรได้จากผู้หญิง

นิโคลคิดว่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ผู้หญิงส่งเสริมผู้ชายมาตลอด และนั่นคือสิ่งที่ผู้ชายเรียนรู้ได้จากผู้หญิงในการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผู้ชายและผู้หญิงเรามีสิ่งที่ไม่ตรงกันอยู่ตลอดเวลา และก็บอกว่า เธอต้องเป็นแบบนั้นนะ เธอต้องเป็นแบบนี้สิ แต่เราเรียนรู้ได้ว่า แทนที่จะอยู่ตรงข้ามกัน เราไปได้ไกลกว่าด้วยการส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพราะว่าเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน เราแชร์กันได้ แทนที่จะทะเลาะกัน ทำไมเราจะไม่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวล่ะคะ

 

แล้วผู้หญิงเรียนรู้อะไรได้จากผู้ชาย

สิ่งที่นิโคลได้เรียนรู้จากผู้ชายก็คือ บางครั้งเราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เราต้องพูดในสิ่งที่เรารู้สึก พูดในสิ่งที่เราคิด และนิโคลรู้ว่ามีผู้หญิงมากมายที่กำลังเรียนรู้เรื่องนี้ว่า ยิ่งเราพูดออกมา ยิ่งเราฟังมากขึ้น ฟังตัวเราเอง และพูดสิ่งที่เราต้องการ มันทำให้เรามีพลังมากขึ้น เราจะยิ่งมีความคิดเห็นที่ชัดเจนกว่าเดิม และสามารถพัฒนาจิตใจและเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่แตกต่างได้ค่ะ

 

คุณคิดอย่างไรกับกฎหมายยอมรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน

นิโคลเชื่อว่าทุกที่ควรมีกฎหมายสนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ความรักก็คือความรักค่ะ ไม่มีอะไรขีดกรอบให้กับความรักได้ ถ้าคุณรู้สึกรักใครหรือรักอะไร ทำไมจะต้องมีกฎหมายมาขัดขวางความรักล่ะ

 

คุณคิดอย่างไรถ้าจะมี Transgender มาประกวดบนเวทีเดียวกับผู้หญิง

ทำไมเราจะต้องห้ามพวกเธอขึ้นบนเวทีเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วยล่ะ เรามาเพื่อส่งเสริมสิ่งที่เธอเป็น และสิ่งที่เธออยากเป็น เรามาเพื่อส่งเสริมเสียงและเป้าหมายในชีวิตของพวกเธอ ไม่ใช่ดูจากเรื่องภายนอก เราให้คุณค่ากับสิ่งที่อยู่ข้างในและจิตวิญญาณของพวกเธอต่างหาก ถ้าเธอคือผู้หญิง ต้องการประกวดและเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ นิโคลอยากเชิญชวนให้มาประกวด และมันจะเป็นก้าวสำคัญของประเทศชาติเราด้วย

ทุกที่ควรมีกฎหมายสนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ความรักก็คือความรักค่ะ ไม่มีอะไรขีดกรอบให้กับความรักได้

 

อะไรคือ Social Movement ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของคุณ

เรื่องความเท่าเทียมค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์ หรือกลุ่ม LGBTQ ก็ตาม เพราะนิโคลเชื่อว่าตอนนี้คนเริ่มกล้าส่งเสียงออกมาแล้วว่าเขาคิดอย่างไร เขาเป็นคนอย่างไร และพยายามจะขับเคลื่อนสังคมให้ไปสู่ความเท่าเทียมกันอยู่ เราอาจจะยังไม่ได้ไปถึงจุดที่เท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์แบบ แต่เรากำลังพยายามอยู่และกำลังพยายามยิ่งกว่าเดิมอีก มันคือการยอมรับ เปิดใจ และเชื่อมั่นในกันและกัน เมื่อเราศรัทธาในคนอื่นก่อน เขาก็จะรู้สึกดี ใช้ชีวิตในทางที่ดี และมอบสิ่งดีๆ กลับมายังสังคม

 

ถามตรงๆ คุณคิดอย่างไรกับการเมืองไทย

เราจำเป็นต้องเปิดกว้างมากกว่านี้ นิโคลไม่อยากจะเลือกข้าง เพราะนิโคลไม่มีข้าง แต่อยากบอกว่า เราต้องเป็นมากกว่านั้น ไม่อนุรักษ์นิยมจ๋า ไม่ลิเบอรัลจ๋า แต่เราต้องเปิดใจกว้าง พร้อมที่จะรับความคิดใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะประเทศไทยตอนนี้เราเป็นประเทศกำลังพัฒนา เราไม่ใช่ประเทศโลกที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ประเทศโลกที่สาม เรากำลังเติบโต ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เรามีโครงการประเทศไทย 4.0 ซึ่งมันเป็นความก้าวหน้า การเมืองของเราต้องเปิดกว้างพอที่จะรับความคิดจากประเทศอื่นๆ หรือจากคนอื่นๆ ทั้งจากคนที่ไม่ได้ชอบการเมืองเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีความคิด ถ้าเรากลั่นกรองความคิดต่างๆ และนำมันมาพัฒนาเป็นโครงการต่างๆ ก็น่าจะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันได้

 

ถ้าคุณสามารถทำอะไรแหกกฎได้หนึ่งวัน คุณจะทำอะไร

มันอาจจะฟังดูแปลกนะคะ แต่นิโคลคิดว่ามันสำคัญมากก็คือ อยากให้ราคาที่อยู่อาศัยถูกลง เพราะราคาที่อยู่อาศัยที่แพงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดคนไร้บ้าน ถ้าเราทำให้ราคาที่อยู่อาศัยถูกลงได้ เราจะทำให้เขามีที่อยู่ได้ คนเราต้องการบ้าน เพราะบ้านคือที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น บ้านทำให้เราได้เรียนรู้ สอนให้เราได้เรียนรู้ทักษะชีวิตและคุณค่าของครอบครัว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่หลายคนไม่มีในทุกวันนี้ มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องบ้าบอหรือเล็กน้อย แต่มันคือสิ่งที่เราน่าจะทำให้มันเป็นจริงได้

 

ทำไมคุณถึงควรได้รับตำแหน่งมิสเวิลด์คนต่อไป

นิโคลทำให้คนร่วมมือกันได้ ด้วยความที่ชื่อ ‘World’ (โลก) ด้วยแหละค่ะ มันคือการเชื่อมโยงสองสิ่งเข้าด้วยกัน คือคนที่ได้รับโอกาสน้อย และคนที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ มิสเวิลด์เป็นตัวเชื่อมทุกสิ่ง เราจะรวบรวมผู้คนที่มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ แค่คนเล็กๆ คนเดียวเชิญชวนให้ทุกคนช่วยเหลือคนอื่นได้หมด

 

และถ้านิโคลจะช่วยผู้อื่นได้ ทั้งก่อตั้งโครงการต่างๆ ที่ช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบภัย นิโคลก็อยากจะใช้ตำแหน่งนี้ในการทำให้เสียงของคนดังขึ้น ช่วยให้ผู้คนได้พูดสิ่งที่เขาคิด และช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตคนมากมาย เพราะว่ามันมีช่องว่างระหว่างผู้คนที่มีโอกาสและผู้คนที่ไม่มีโอกาส และมิสเวิลด์นี่แหละค่ะคือผู้ที่เชื่อมโยงช่องว่างนั้นได้

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X