×

นิค คีริออส แบดบอยผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของวงการเทนนิสยุคปัจจุบัน

06.02.2023
  • LOADING...
นิค คีริออส

“นิค คุณจะกลับมาอีก ไม่ใช่แค่ในวิมเบิลดัน แต่จะกลับมาในรอบชิงฯ (ของแกรนด์สแลม) เป็นเรื่องยากที่จะหาคำพูดปลอบใจหลังจากความพ่ายแพ้ที่น่าลำบากใจเช่นนี้ แต่คุณก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมคุณถึงคู่ควรที่จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอร์ต (หญ้า) แบบนี้

 

“ขอแสดงความยินดีกับคุณและทีมของคุณสำหรับทัวร์นาเมนต์ที่น่าทึ่ง ขอให้คุณโชคดี ผมเคารพคุณมากจริงๆ ผมคิดจริงๆ ว่าคุณเป็นนักเทนนิสและนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ผมคิดว่าคุณจะได้ยินเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว

 

“แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวสำหรับคุณแล้ว และผมมั่นใจว่าเราจะได้เห็นคุณอีกหลายครั้งในแกรนด์สแลมรายการต่อๆ ไป”

 

ข้างบนนั้นเป็นคำกล่าวของ โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสมือ 1 ของโลก และเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 22 สมัย ที่พูดถึง นิค คีริออส นักเทนนิสรุ่นน้องหลังทั้งคู่ฟาดฟันกันมาถึง 4 เซ็ต ในศึกวิมเบิลดัน 2022 ก่อนที่ยอโควิชจะพลิกสถานการณ์แซงชนะ 3-1 เซ็ต แม้จะตามหลังไปก่อน แต่ถึงอย่างนั้นนักหวดมือ 1 ของโลกคนปัจจุบัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นของนักเทนนิส ‘แบดบอย’ (Bad Boy) รายนี้หลังการแข่งขันจบลง

 

ไม่ใช่แค่ ‘โนเล’ เท่านั้น ที่พูดถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นของคีริออส หากแต่นักเทนนิสทั้งรุ่นเดียวกัน และรุ่นก่อนหน้าอีกหลายคนก็ต่างให้การยอมรับถึงพรสวรรค์ของนักเทนนิสชาวออสเตรเลียคนนี้ 

 

โดยทางด้าน จอห์น แมคเอนโร ตำนานนักหวดลูกสักหลาดชาวอเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ที่ผมเห็นในรอบทศวรรษ” 

 

ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่าง มัตเตโอ แบร์เร็ตตินี นักหวดชาวอิตาเลียน มือ 22 ของโลก กล่าวไว้ในสารคดี Break Point ทาง Netflix ว่า “เขาน่าจะเป็นนักเทนนิสที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นของเรา”

 

นิค คีริออส

 

คำกล่าวอ้างเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงลอยๆ หากแต่มีหลักฐานหลายอย่างสนับสนุนคำพูดเหล่านั้น ไล่ตั้งแต่ที่คีริออสมีความโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเทนนิสดาวรุ่ง เขาเคยขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกในสมัยที่เป็นนักเทนนิสเยาวชนชาย โดยสามารถคว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพน ประเภทเยาวชนชาย มาครองได้ในปี 2013 อีกด้วย

 

เมื่อก้าวขึ้นมาสู่รุ่นใหญ่ พรสวรรค์ของเขายังคงเฉิดฉายไม่ต่างจากสมัยเด็ก หลังกลายเป็น 1 ใน 2 นักเทนนิสในโลกนี้ร่วมกับ เลย์ตัน ฮิววิตต์ ที่เอาชนะบรรดานักหวด Big 3 ได้สำเร็จในครั้งแรกที่เจอกับพวกเขาได้ทั้งหมด 

 

ไล่ตั้งแต่เอาชนะ ราฟาเอล นาดาล ในเทนนิสวิมเบิลดัน 2014 ตามมาด้วยการล้ม โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในเทนนิส มาดริด โอเพน 2015 และ โนวัค ยอโควิช ได้ถึง 2 หนในปี 2017 ในรายการที่อะคาปุลโก ประเทศเม็กซิโก ก่อนมาย้ำชัยอีกครั้งในอินเดียน เวลส์ มาสเตอร์ส ปีเดียวกัน

 

ทั้งที่ถูกยกย่องไว้สูงมากด้านพรสวรรค์ แต่คีริออสกลับไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพเทนนิสอย่างที่ใครหลายๆ คนคาดหวัง 

 

เขายังไม่เคยคว้าแชมป์แกรนด์สแลมในประเภทเดี่ยวได้เลยแม้รายการเดียว และในขณะที่เขาล้มทั้ง ราฟา, โรเจอร์ และ โนเล ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน 

 

แต่ปัจจุบันอันดับโลกของนักหวดจากออสเตรเลียรายนี้กลับอยู่เพียงแค่มืออันดับ 20 ของโลก และเคยขึ้นไปสูงที่สุดคืออันดับ 13 ของโลกเมื่อปี 2016 เท่านั้น

 

อันดับโลกที่ว่ามาซึ่งคีริออสถือครองอยู่นับได้ว่าเป็นอันดับโลกที่ค่อนข้างสูงในวงการที่ว่ากันว่ามีแต่ ‘สัตว์ประหลาด’ เดินกันเพ่นพ่าน แต่ด้วยพรสวรรค์ที่เขามีและความโดดเด่นตั้งแต่เด็ก ทำให้หลายคนมองว่าอันดับโลกระดับท็อป 20 ที่คีริออสครองอยู่ในตอนนี้ยังถือว่า ‘น่าผิดหวัง’

 

นอกจากนั้นแล้ว ภาพลักษณ์ของเขายังนับเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนมองว่า เขาเป็น ‘แบดบอย’ ของวงการนักหวดลูกสักหลาด ตัวอย่างเช่น การทุบแร็กเก็ต 2 อัน ในเทนนิสเฟรนช์โอเพน 2017 (นอกจากนั้นเขายังขอเบียร์ระหว่างการแข่งขันด้วย)

 

ขณะที่ในเทนนิสโรเจอร์คัพ ปี 2019 เขาไม่พอใจกับผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่มีตราโลโก้ของการแข่งขัน และต้องการให้เป็นผ้าขนหนูสีขาว ทำให้เขาปฏิเสธที่จะเล่นต่อ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ต้องไปเอาผ้าผืนใหม่มาเปลี่ยนให้เขา

 

และล่าสุดในศึกวิมเบิลดัน 2022 เขาเพิ่งก่อเรื่องใหม่เพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่การใส่รองเท้าแดงและหมวกแดงในการแข่งขัน ทั้งที่กฎข้อบังคับของรายการนี้ระบุว่านักเทนนิสต้องใส่ชุดขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วยังไม่นับเรื่องที่เขามีปัญหากับ สเตฟานอส ซิตซิปาส นักเทนนิสชาวกรีซ ทั้งระหว่างการแข่งขัน และหลังจากเกมจบด้วย

 

 

 

ยังไม่นับรวมถึงพฤติกรรมหัวร้อนที่แฟนเทนนิสเห็นได้บ่อยๆ ทั้งการพังแร็กเก็ต ถ่มน้ำลาย หรือทะเลาะกับคนดูด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิสที่ถูกปรับจากการแข่งขันมากที่สุด โดยมูลค่ารวมที่เขาถูกปรับสูงกว่า 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 26.86 ล้านบาทไปแล้ว

 

นอกจากนั้นแล้ว คีริออสยังมีเรื่องราวนอกสนามให้ติดตามกันอยู่เป็นประจำ โดยล่าสุด เขาเพิ่งออกมายอมรับต่อศาลในกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ว่าเคยทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาวของตัวเองอย่าง เคียรา ปาสซารี ที่มีดีกรีเป็นนางแบบชื่อดัง ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมีปากเสียงกันในบ้านพัก เมื่อเดือนมกราคมปี 2021 ด้วย

 

ทั้งหมดที่ว่ามาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้เขาได้รับฉายาว่า ‘แบดบอย’ แห่งวงการเทนนิส หรือถ้าแรงกว่านั้นก็คงหนีไม่พ้นฉายา ‘พรสวรรค์ที่สูญเปล่าที่สุด’ หรือ ‘The Most Wasted Talent’

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่การไป ‘ตัดสิน’ คีริออสว่าเป็นคนอย่างไร หากแต่คำถามควรจะเป็นว่า ‘ทำไม?’ หรือ ‘เพราะอะไร?’ ที่ทำให้นักเทนนิสที่หลายฝ่ายต่างยอมรับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงสุดของโลกคนหนึ่ง ถึงไม่สามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่า

 

มีหลายบทความพยายามอธิบายเหตุผลว่าทำไมคีริออสจึงกลายเป็นนักเทนนิสแบบที่เราเห็นกัน และในหลายๆ บทความเหล่านั้นก็มีเหตุผลหลายเหตุผลที่น่าสนใจ หนึ่งในเหตุผลที่หลายคนมองตรงกันว่าเป็นปัญหาใหญ่ของคีริออสในการทำให้เขาไปไม่ไกลเท่าที่ควร คือเรื่องของทัศนคติและความเป็นมืออาชีพ

 

คีริออสเคยออกมายอมรับว่า เขาเล่นเทนนิสเพื่อหาเลี้ยงชีพ และไม่ได้มีแพสชันกับมันมากเท่าที่เขาหลงรักกีฬาอื่นอย่าง บาสเกตบอล โดยนิคเป็นแฟนตัวยงของบอสตัน เซลติกส์ และแม้จะเล่นบาสได้ดีไม่น้อย แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาเล่นเทนนิสได้ดีกว่าบาสเกตบอล ซึ่งนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะเลือกเล่นเทนนิสอาชีพมากกว่าไปเอาดีด้านบาสเกตบอล

 

คีริออสเปิดเผยว่าเขาเป็นแฟนตัวยงของบอสตัน เซลติกส์

 

ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้คีริออสไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองลงซ้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ภายในได้มากเท่าที่ควรจะเป็น 

 

ขณะที่นักเทนนิสรายอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้ถูกยกย่องว่ามีพรสวรรค์เท่ากับคีริออส อย่าง แอนดี เมอร์เรย์ หรือ ดานีล เมดเวเดฟ ต่างเคยขึ้นมือ 1 ของโลก และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมมาครองได้แล้วทั้งคู่ด้วยแรงกระตุ้นจากแพสชันด้านการเล่นเทนนิส และวินัยในการฝึกซ้อมอย่างยากจะหาใครมาเปรียบเทียบ แต่คีริออสต่างออกไปอย่างชัดเจนในเรื่องนี้

 

ขณะที่ในคอลัมน์ของ มาร์ก ‘สกู๊ป’ มาลินอฟสกี นักข่าวสายเทนนิสชื่อดังชาวอเมริกัน เคยวิเคราะห์คีริออสไว้อย่างน่าสนใจว่า เหตุผลที่เขาทำผลงานได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จริงๆ แล้วอาจจะมาจากการกลัว ‘ความพ่ายแพ้’ และด้วยการเล่นไม่เต็มที่ หรือพยายามอย่างไม่สุดความสามารถนี่เอง ที่ทำให้เขาอธิบายกับตัวเองได้ว่า ที่เขาแพ้ไม่ใช่เพราะเขาไม่ดีพอ และเป็นเพราะเขายังไม่พยายามอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นจิตวิทยาการปกป้องตัวเองแบบหนึ่งของมนุษย์เช่นกัน

 

นอกจากนี้ คีริออสยังมีพฤติกรรมที่ ‘รับฟัง’ เสียงรอบตัวมากเกินไป ทั้งจาก สื่อมวลชน แฟนเทนนิส เสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทนนิสกรุ่นก่อนหน้าไม่ค่อยใส่ใจกัน และเป็นสิ่งที่นักหวดระดับท็อปต้องรับมือกับมันได้ดีกว่านี้ โดยตัวอย่างที่ว่าเขารับฟังเสียงวิจารณ์และรับมือกับมันได้ไม่ดีพอ มาจากบทสัมภาษณ์ที่เขาพูดไว้ก่อนการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมยูเอสโอเพนเมื่อปีก่อน ที่อธิบายความคิดของเขาได้อย่างชัดเจน

 

 

“ผมทำสิ่งนี้เพื่อพิสูจน์ต่อคนจำนวนมาก ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าผมยังสามารถเล่นเทนนิสที่น่าทึ่งได้ ผมทำเพื่อปิดปากจำนวนมาก และถ้าผมทำได้ ผมก็จะได้รับความสงบ เพราะไม่มีใครจะมาพูดอะไรได้อีก และนั่นจะทำให้ผมสามารถพักผ่อนอย่างแท้จริงได้ในเวลากลางคืน

 

“ผมรู้สึกเหมือนกับว่า เมื่อเทียบกับนักเทนนิสคนอื่นๆ ผมต้องรับมือกับคำก่นด่ามากกว่าเยอะ มันยังมีความเห็นในแง่ลบจากสื่อแย่ๆ จากบทความแย่ๆ คำพวกนี้คำพวกนั้นอย่าง พรสวรรค์ที่สูญเปล่า หรืออะไรก็ตาม

 

“ผมรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ถ้าผมเล่นด้วยฟอร์มที่ดีแบบนี้ต่อไปอีกหน่อย พิสูจน์ว่าคนอื่นคิดผิด ผมก็ผ่อนคลายได้บ้าง

 

“ชอบดื่มเบียร์ที่ผับ และตอนนั้นจะไม่มีใครมายุ่งกับผมอีก

 

“พวกคุณวาดภาพให้ผมเป็นคนที่น่ากลัวอย่างนี้มา 5 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมันถูกชะล้างออกไป สีสันที่แท้จริงผ่านเข้ามา ผมหวังว่าผมจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้านได้ตามที่พวกเขาต้องการและทำให้เขารู้สึกสบายใจเสียที”

 

ปัจจุบัน นิสัยนี้ของเขาก็ยังไม่ได้หายไป หลังเพิ่งออกมาตอบโต้ แพต ราฟเตอร์ อดีตนักเทนนิสดาวดังชาวออสเตรเลีย ที่ปัจจุบันหันมาทำงานเป็นนักวิเคราะห์

 

โดยคีริออสไม่พอใจที่ราฟเตอร์ออกมาวิจารณ์การเล่นคู่ของเขากับ ธานาซี ค็อกคินากิส ที่ถูกนำเสนอในสารคดี Break Point ว่าเป็นเหมือนละครสัตว์ เนื่องจากการแสดงออกของคีริออสและค็อกคินากิสเหมือนจงใจถูกทำเพื่อให้คนดูบันเทิงและสนุก แต่เหมือนไม่ค่อยจะเหมาะสม ซึ่งทางคีริออสตอบโต้ราฟเตอร์ผ่านทวิตเตอร์ว่า “เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องแต่งตัวบ้าง ผมกับค็อกก์มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดานักเทนนิสในทัวร์ ผู้ชายคนนี้ไม่มีความคิดเลย”

 

คิริออสตอบโต้คำวิจารณ์ของ แพต ราฟเตอร์

 

สิ่งที่คีริออสถูกวิจารณ์ไม่ใช่สิ่งที่เขาจำเป็นจะต้องเอามาใส่ใจเลยก็ได้ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้ว มันทำให้เขาเก็บเรื่องต่างๆ มาใส่ใจมากเกินไป จนส่งผลต่อฟอร์มการเล่น และหากยังจำกันได้ ก่อนเริ่มฤดูกาล 2022 เมื่อปีก่อน ทางคีริออสถึงกับมีความคิดที่อยากจะวางมือจากวงการเทนนิสเป็นการถาวรในวัยเพียง 26 ปี ในตอนนั้นด้วย

 

จะเห็นว่าปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้คีริออสกลายมาเป็นแบดบอยจอมเกรียนของวงการเทนนิส มาจากการปัจจัยหลักที่สำคัญอย่างการที่เขาไม่ได้ทุ่มเทให้กับเทนนิสมากเพียงพอ ซึ่งนั่นค่อยๆ แตกแยกย่อยออกมาเป็นปัจจัยย่อยๆ ที่ส่งเสริมให้เขากลายเป็น คีริออส แบบที่เรารู้จักกันในตอนนี้

 

ดังนั้นน่าสนใจว่า หากเกิดเหตุการณ์สำคัญอย่างการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกในอาชีพ หรืออะไรที่สามารถจะเปลี่ยนความคิดของคีริออสได้แล้วล่ะก็…มันจะเปลี่ยนตัวตนเขาไปในทิศทางไหน และจะทำให้เราได้เห็นอะไรในอนาคตของวงการเทนนิสบ้าง…ในตอนนี้มีเพียง นิค คีริออส เท่านั้นที่รู้คำตอบ 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising