กลิ่นหอมเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนตัวตน และสามารถสื่อสารบุคลิกออกมาได้มากกว่าเครื่องแต่งกาย จึงทำให้เสน่ห์ของกลิ่นหอมคือความละเอียดอ่อนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง บางกลิ่นสามารถรีมายด์ความทรงจำบางอย่างให้ชัดเจนได้อีกครั้ง ขณะที่บางกลิ่นก็จูงมือใครบางคนให้ล่องลอยไปกับจินตนาการที่เกินคาด แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ เพื่อยืนยันถึงไลฟ์สไตล์ที่เราเป็น หลายคนจึงมองหากลิ่นที่แทนตัวเองได้ดีที่สุด ถ้าคุณเป็นคนที่มองหาความแตกต่างที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวเฉพาะที่ไม่ซ้ำใคร โลกของ Niche Perfume ที่ THE STANDARD POP กำลังจะพาไปสำรวจ เพื่อตามหาเสน่ห์ความหอมสำหรับเทศกาลแห่งความสุข อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็ได้ โดยสถานที่ที่เป็นดั่งอาณาจักรความหอมนี้ตั้งอยู่ที่ Beauty Hall ชั้น M สยามพารากอน ที่นี่นอกจากจะมีน้ำหอมแบรนด์ดังมากมาย ยังมีหนึ่งโซนที่รวมน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ความหอมนิชแบรนด์ดังระดับโลกไว้ที่นี่ด้วย จะมีแบรนด์ไหนน่าสนใจบ้างไปชมกันเลย
1. Diptyque ก่อตั้งในปี 1961 เริ่มต้นจากศิลปินผู้หลงใหลในศิลปะ Yves Coueslant, Christiane Gautrot และ Desmond Knox-Leet ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับวัฒนธรรม หลงใหลการท่องเที่ยว และหลงรักธรรมชาติ พวกเขาตัดสินใจสร้างสรรค์ Diptyque ขึ้นเพื่อแบ่งปันศิลปะและวิสัยทัศน์ของพวกเขา โดยมีเอกลักษณ์ของ Diptyque (Diptyque’s Signature) คือรูปทรงวงรีแสดงถึงรสนิยมเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมกรีกโรมันของผู้ก่อตั้ง คือรูปทรงที่อยู่บนขวดของผลิตภัณฑ์ ปีนี้มีไอเท็มน่าสนใจที่เข้ากับเทศกาลแห่งความสุข อย่างเช่น เทียนหอม Diptyque รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันทั้ง 3 แก้ว ถูกประดับประดาด้วยดวงดาวสีขาว สีทอง และสีเงิน มีการนำสีสันที่เข้มข้นและกลิ่นหอมต่างๆ ประจำเทศกาล มารวมกันให้ดูราวกับมีชีวิต
รวมถึงเสน่ห์ของตะเกียงและม้าหมุน Lantern & Carrousel ซึ่งปีนี้ถูกตกแต่งด้วยวงรีสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน อันเป็นสัญลักษณ์ของ Diptyque เมื่อวางลงบนเทียนไอคอนิกของแบรนด์แล้ว ตะเกียงที่แกะสลักอย่างประณีต หรือจี้ห้อยบนม้าหมุนจะหมุนไปรอบๆ เปลวไฟเสมือนดวงดาวหมุนรอบดวงอาทิตย์ ท่ามกลางการเต้นรำของเงาและแสง ทำให้ห้องนี้มีบรรยากาศราวกับเทพนิยายเลยทีเดียว
2. Acqua di Parma หมายถึงความเป็นเลิศ เป็นงานฝีมือ และเป็นสไตล์อิตาลีตั้งแต่ปี 1916 จากโคโลเนีย ที่สร้างจากความรักของอิตาลี ได้เติบโตเป็นไอคอนระดับโลกในสไตล์อิตาลี ก่อตั้งโดย Carlo Magnani โดยได้สร้าง Acqua di Parma จากการรวบรวมสิ่งที่เขารักและคิดถึงเกี่ยวกับอิตาลี นั่นคือความซับซ้อนที่ไม่เหมือนใคร และเป็นความสง่างามที่เรียบง่าย และมีความรักต่อเมืองพาร์มา (เมืองในอิตาลี) เป็นเมืองที่มีธรรมชาติและวัฒนธรรมผสมผสานกันอย่างลงตัว เป็นสถานที่ที่มีแสงสีทองของฤดูร้อนในอิตาลี รวมไปถึงหินของพระราชวังที่เหมือนผิวที่ถูก Sun-Kissed จึงเป็นที่มาของสีเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของ Acqua di Parma นั่นเอง
สำหรับไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับช่วงเทศกาลปีนี้ประกอบด้วย เทียนหอม ดิฟฟิวเซอร์ กับแนวกลิ่น Panettone กลิ่นหอมของเค้กคริสต์มาส แรงบันดาลใจจากขนมหวานของชาวมิลานที่กลายมาเป็นกลิ่นหอม จะกระตุ้นความทรงจำในช่วงเวลาในเทศกาลพิเศษ กลิ่น Bosco กลิ่นหอมเปี่ยมเสน่ห์ของต้นสนและเฉดสีเขียวของใบสนเรียวสวยที่ร้อยเรียงประสานไปกับกลิ่นสดชื่นเย็นสบายของยูคาลิปตัส และกลิ่น Magia Del Camino รังสรรค์บรรยากาศอันสมบูรณ์แบบด้วยกลิ่นหอมอบอุ่นของ Wood มอบช่วงเวลาแสนพิเศษให้คุณและคนในครอบครัว เสียงประกายไฟจากเตาผิง
3. Goutal Paris เริ่มต้นจาก Annick Goutal เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่หลงใหลและรักในสิ่งสวยงาม ก่อนหน้าที่จะก่อตั้งแบรนด์เธอเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ National Conservatory ในการประกวดเปียโน แต่เธอต้องการอิสระ เธอละทิ้งอาชีพแรกของเธอมาเป็นนางแบบ หลายปีผ่านไปเธอผันตัวมาเป็นนักปรุงน้ำหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ และประสบการณ์ชีวิตที่เธอได้พบเจอตลอดการเดินทางบนเส้นทางที่เธอหลงใหล ทำให้เธอได้สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาตามแบบฉบับน้ำหอมดั้งเดิม และในที่สุด Goutal Paris ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1981 โดยน้ำหอมแต่ละกลิ่นของ Goutal Paris เป็นดั่งตัวแทนของเวลาและความทรงจำ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญ เช่น ช่วงเวลาแห่งความสุข สถานที่มหัศจรรย์ หรืออาจเป็นแรงบันดาลใจจากธรรมชาติใดๆ
เป็นแบรนด์ที่มีน้ำหอมกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ หรูหรา งดงาม ไม่ซ้ำใคร โดยน้ำหอมกลิ่นที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือ Petite Cherie เป็นน้ำหอมที่รังสรรค์มาเพื่อลูกสาววัย 23 Petite Cherie คือความงามที่ไม่อาจต้านทาน มีความเย้ายวนใจ ขณะเดียวก็เผยเสน่ห์แห่งความไร้เดียงสาที่ปนความอ่อนหวานรวมกัน นอกจากนี้ยังมี Rose Pompon ที่เป็นเสมือนสวนกุหลาบพันกลีบ ช่วยให้กลิ่นหอมที่นุ่มนวลและโปร่งสบายอีกด้วย
4. Björk and Berries เป็น Ecoluxury Skincare และกลิ่นหอมจากธรรมชาติและส่วนผสมออร์แกนิกจากประเทศสวีเดน ด้วยความปรารถนาที่จะรักษาและแบ่งปันความมหัศจรรย์ของมรดกทางธรรมชาติและความงาม โดยเลือกใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ ผ่านเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อ่อนโยนต่อผิวหนัง คน สัตว์ และธรรมชาติ ทั้งยังเป็น Cruelty Free ไม่ทดลองในสัตว์ ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Best Seller คือ White Forest เผยเสน่ห์ของกลิ่นป่าสวีเดนที่ลึกล้ำ แสดงถึงการมีอยู่อันเงียบสงบและสะท้อนถึงหัวใจของ Nordic Nature กลิ่นจะนำคุณไปยังป่าไม้เบิร์ชสีขาวและต้นสนสีเขียว เสมือนลมหายใจของป่าที่สดชื่น ส่วนกลิ่น Never Spring เป็นดั่งสัญญาณแรกของฤดูใบไม้ผลิ จนกระทั่งเบ่งบานอย่างเต็มที่ มาพร้อมกับ Sweet Blackberry และ Ripe Citruses ที่อ่อนโยน มาในรูปแบบทั้งน้ำหอม บอดี้โลชั่น บอดี้วอช แฮนด์ครีม บอดี้สครับ บอดี้เซรั่ม
5. Trudon ก่อตั้งขึ้นในปี 1643 เป็นเทียนที่ถูกใช้ในราชวังแวร์ซายให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยเป็นโรงงานเทียนที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในราชอาณาจักร ผลิตภัณฑ์ของ Trudon นั้นผลิตที่โรงงานในนอร์มังดี โดยใช้ความรู้และความชำนาญที่ไม่มีใครเทียบได้ ภาชนะแก้วที่ทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน พร้อมไส้เทียนและแว็กซ์ที่ถูกเทลงในแก้วด้วยมือ
สำหรับ Holiday Collection ร่วมฉลองคริสต์มาสในปีนี้ไปกับ Trudon คอลเล็กชันพิเศษที่ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันร่วมกับคนพิเศษ การเฉลิมฉลองช่วงเวลาแสนสุขและเพลิดเพลินไปกับความปรารถนาอันไร้ขีดจำกัด กลิ่นอายของการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่สมบูรณ์แบบนี้ บ่งบอกถึงความสง่างามของการหยิบยกเรื่องราวของเครื่องประดับล้ำค่ามาใส่ใน Trudon คอลเล็กชันคริสต์มาสจึงเป็นการตกแต่งให้ต้นคริสมาสต์ในปีนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริง ใบโคลเวอร์ สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ดวงดาวอันเปล่งประกาย เกมส์ไพ่และรูปปั้นเหล่าเทพธิดาและปีกนางฟ้าน้อยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและมีความสุข
6. Carrière Frères เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งมาใหม่ในโซนนี้ เป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นของประวัติศาสตร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่พฤกษศาสตร์ ความเชี่ยวชาญแบบดั้งเดิม โดยเรื่องราวของแบรนด์เริ่มต้นด้วยพี่น้องตระกูล Carrière ตัดสินใจซื้อ Royal Wax Manufacturing หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันในชื่อ Trudon พวกเขาหลงใหลในศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์และมีความคิดที่จะปรับปรุงให้ทันสมัย ด้วยความเคารพในขนบธรรมเนียมประเพณี พวกเขายอมรับมรดกเก่าแก่นับศตวรรษของช่างทำเทียนระดับปรมาจารย์ที่ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 17 และ 18 จากนั้นด้วยความกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ พวกเขาจึงก่อตั้ง Carrière Frères ขึ้นในปี 1884 ภายใต้องค์กรใหม่นี้ ความอยากรู้อยากเห็นและจิตวิญญาณของผู้ประกอบการจะเติบโตขึ้น เพื่อเป็นการยกย่องการวิจัยทางพฤกษศาสตร์
Carrière Frères ได้สร้างกลิ่นที่เป็นความหลากหลายทางชีวภาพตามธรรมชาติของอาณาจักรพืช ในเทียน, สเปรย์แต่ละกลิ่น, น้ำหอมและเอสเซนส์ต่างๆ จะมีกลิ่นที่สกัดจากสมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ ผลไม้ หรือต้นไม้เป็นส่วนสำคัญหลัก เรียกได้ว่า Carrière Frères น้ำหอมและเอสเซนส์พฤกษศาสตร์กลายเป็นหนึ่งเดียว สำหรับไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีประเทศไทยประกอบด้วย เทียนหอม, Palets เครื่องประดับขี้ผึ้งที่ทำด้วยมือในฝรั่งเศส สำหรับวางกระจายกลิ่นในตู้เสื้อผ้าหรือลิ้นชัก กลิ่นที่แนะนำคือ Orange Blossom ดอกไม้สีขาวที่สื่อถึงวันอันอบอุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม รวมทั้งยังมีดิฟฟิวเซอร์ด้วย
ภาพ: THE STANDARD POP