สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ชื่อก็บอกชัดเจนว่า นี่คือองค์กรที่มีพันธกิจหลักคือ การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ ส่งเสริมการสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติ สร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม ไปจนถึงการยกระดับทักษะและความสามารถทางนวัตกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
ตลอดระยะเวลา 16 ปีของการดำเนินงาน NIA เชื่อเสมอว่า ‘นวัตกรรม’ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
หากแต่เป้าหมายของ NIA ไม่ใช่การเพิ่มจำนวนนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว แต่นวัตกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนต้องเป็นนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (Impactful Innovation) ให้ประเทศด้วย
เมื่อ NIA ปักธงที่จะเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรม การวางกรอบตัวเองให้เป็นเพียง ‘ผู้สนับสนุน’ ไม่พอ จึงปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่เป็น ‘ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)’ ทำหน้าที่ชี้แนะแนวทางและอุตสาหกรรมเป้าหมายที่โดดเด่นของประเทศ เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น ‘ชาติแห่งนวัตกรรม (Innovation Nation)’ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกและวัดผลได้ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) บอกว่า “ถ้าประเทศไทยมีนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกเพิ่มมากขึ้น มันไม่เพียงจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของเศรษฐกิจและสังคมของไทย แต่ยังกำหนดตำแหน่งของไทยบนเวทีโลก”
ที่ผ่านมา NIA ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจนวัตกรรมตั้งแต่ SME, Startup ไปจนถึง Social Enterprise ในการพัฒนานวัตกรรมที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมผ่าน 4 กลไกหลัก ได้แก่ Groom การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรม Grant การให้เงินทุน Growth การสร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุน และ Global การเข้าสู่ตลาดระดับโลก
เข้าใจ ‘กลไก 4G’ เบื้องหลังระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่งของ NIA
กลไก 4G อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง’ ดร.กริชผกา ฉายภาพความสำเร็จในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่
‘Groom’ ผ่าน 16 หลักสูตร ภายใต้ NIA Academy กลไกสำคัญในการบ่มเพาะ ให้ความรู้และพัฒนาศักยภาพนวัตกร ครอบคลุมทั้งกลุ่มเยาวชน ผู้ประกอบการ องค์กร และผู้นำรุ่นใหม่ กว่า 40,000 คน
“ปีนี้เราจะมุ่งสร้างนวัตกรตั้งแต่เด็กจนถึงมหาวิทยาลัย เตรียมความพร้อมผ่าน 2 โครงการหลัก คือ STEAM4INNOVATOR หลักสูตรการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ โดยผนวกความรู้ด้านธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการเข้ากับความรู้ความเข้าใจทางด้าน STEAM จากเดิมที่เราทำงานกับเด็กมัธยม แต่ต่อจากนี้เราจะขยายกลุ่มลงไปที่เด็กประถม แล้วค่อยส่งไม้ต่อให้กับโครงการ Startup Thailand League ซึ่งเราทำต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 9 จับมือกับ 50 มหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ พัฒนาหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรมให้กับเยาวชนระดับอุดมศึกษา”
‘Grant’ หรือการสนับสนุนเงินทุนให้เปล่า จะเน้นไปที่กลุ่ม SME, Startup และ Social Enterprise แบ่งเป็นทุนนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศและทุนนวัตกรรมรายพื้นที่ ผ่าน 9 กลไกหลักที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ปีนี้ NIA สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมไปแล้ว 254 โครงการ รวมมูลค่าการสนับสนุนแล้วกว่า 397 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2568)
“เงินทุนที่ให้ผู้ประกอบการเริ่มต้น 1.5 – 5 ล้านบาท แต่ถ้าเป็น Corporate Co-Funding จะเพิ่มเป็น 10 ล้านบาท เรามองว่า การให้ทุน คือ ‘นวัตกรรมในมือของ NIA’ ทำให้เราเห็นว่าผู้ประกอบการมีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร และจะส่งเสริมให้เขาเติบโตไปทิศทางไหน”
ล่าสุด NIA ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทจาก ‘ผู้ให้ทุน’ เป็น ‘ผู้ร่วมลงทุน’ ผ่านกองทุน ‘NIA Venture’ โดยวางวงเงินเป้าหมายไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถร่วมลงทุนและถือหุ้นในสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตได้
‘Growth’ จะให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะปีนี้ ดร.กริชผกา บอกว่าจะโฟกัสไปที่ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพของไทย ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม
“จุดแข็งของนวัตกรรมไทยคือเรามี ‘Creative Business’ สามารถนำความคิดสร้างสรรค์มาผนวกเข้ากับธุรกิจ ทำให้ธุรกิจมีความแตกต่าง ถ้าดูใน Global Innovation Index ประเทศไทยมีสินค้าส่งออกที่เป็นสินค้าสร้างสรรค์เป็นจำนวนมาก เราเก่งเรื่องการผสานศิลปะวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจนกลายเป็น Soft Power อีกทั้งจุดเด่นเรื่องการเกษตร ก็นำเทคโนโลยีเข้ามาสร้างนวัตกรรมอาหารได้ รวมไปถึงความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสุขภาพ หรือแม้แต่เรื่องของความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี โครงสร้างระบบขนส่งที่พร้อม ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เราโดดเด่นในสายตานักลงทุน”
ดร.กริชผกา ฉายภาพ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มี Accelerator Program มารองรับ ครบทั้งกระบวนการเรียนรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การจับคู่ธุรกิจ การขยายตลาด ร่วมกับการให้ทุนสนับสนุนสู่การเติบโต เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศในสาขาต่างๆ ได้แก่
- อุตสาหกรรมเกษตร มีโครงการ ‘AGrowth’ ดันกลุ่ม AgTech Startup ที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านการเกษตรให้มีศักยภาพที่จะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืนในตลาด
- อุตสาหกรรมอาหาร มีโครงการ SPACE-F แพลตฟอร์มที่ส่งเสริมสตาร์ทอัพด้านอาหาร และเสริมสร้างความร่วมมือทั่วทั้งระบบนิเวศ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือหน่วยงานจากทั้งในและต่างประเทศ ทำงานร่วมกับ Thai Union Group, Mahidol University, ThaiBev, Lotte Fine Chemical, Nestle Thai และ Deloitte ปัจจุบัน SPACE-F ดำเนินโครงการเข้าสู่ปีที่ 6 สนับสนุนสตาร์ทอัพแล้วกว่า 100 ราย จากกว่า 18 ประเทศ และสามารถระดมทุนได้กว่า 27 ราย รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท
“ปีนี้เราอัปสเกลโครงการให้ใหญ่ผ่านโครงการ Thai Kitchen เน้นด้านการสร้างตลาดทั้งในและต่างประเทศ มี Growth Lab Journey ที่สามารถให้คำปรึกษาแบบเฉพาะเจาะจงและวางแผนกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยทั้งระบบให้มีความแข็งแกร่ง แตกต่าง และสามารถแข่งขันในเวทีโลก”
- อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ มีโครงการ SpearH เป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันไทยสู่การเป็น Thailand Medical Innovation Hub “โครงสร้างพื้นฐานการรักษาพยาบาลประเทศไทยดีอยู่แล้ว และด้วยแนวคิดที่จะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย ดังนั้น SpearH จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบนิเวศการแพทย์ของไทยให้อยู่ในย่านเดียว เพื่อให้เกิดการส่งเสริมและเกื้อหนุนในด้านระบบนิเวศนวัตกรรมและอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร หรือที่เรียกว่า ‘ย่านนวัตกรรม’ เราเริ่มนำร่องจากย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) ผลคือสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากเอกชนได้ เราจึงต่อยอดไปที่ย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก (SMID) ให้เป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมการแพทย์ของภูมิภาค ตอนนี้ได้มีการพูดคุยกับ จุฬาฯ, ศิริราช, ม.ขอนแก่น และศูนย์การแพทย์ของ ม.สงขลานครินทร์ เพื่อพัฒนาย่านนวัตกรรมในพื้นที่ต่อไป”
ทั้งนี้ โมเดลของ SpearH จะเป็นการผสมผสานระหว่างการบ่มเพาะ (Incubation) และเร่งการเติบโต (Accelerator) เข้าโปรแกรมและได้ทุนด้วย ดร.กริชผกา มองว่าโมเดลนี้จะเป็นเครื่องมือหลักที่จะพาผู้ประกอบการไปสู่เวทีโลกได้เร็วขึ้น
- อุตสาหกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มีโปรแกรม ClimateX ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ Climate Tech สร้างธุรกิจที่ตอบโจทย์วิกฤตโลก ผ่าน 2 กิจกรรม ได้แก่ ClimateX-ClimateTech Accelerator Program และ FutureMove
- อุตสาหกรรมท่องเที่ยว/ ซอฟต์พาวเวอร์/ สังคม มีโปรแกรม S-Impact ที่ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำงานด้านชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ทำงานเชื่อมต่อกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ หน่วยงานสนับสนุนด้านสังคม และมหาวิทยาลัยที่เป็นหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม (SID) เพื่อสร้างผลกระทบเพื่อสังคมให้เกิดความยั่งยืน
“จริงๆ แล้วผู้ประกอบการที่ไม่เคยรับทุนจากเราก็สามารถเข้าร่วมโครงการ “นิลมังกร เดอะเรียลลิตี้” ซึ่งเป็น Edutainment ที่ช่วยผลักดันแบรนด์ธุรกิจนวัตกรรมไทยที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโต ซึ่งนิลมังกรรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการแบรนด์นวัตกรรมไทยกว่า 40 ราย เฉลี่ย 3.4 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 530 ล้านบาท และสามารถต่อยอดการสร้างแบรนด์ให้กับผู้ประกอบการด้วยการคว้า 3 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ และ 15 รางวัลจากการประกวด 7 Innovation Awards รวมถึงได้รับการต่อยอดการลงทุนร่วมอีกมากมาย”
‘Global’ การขยายสู่สากล ผลักดันผู้ประกอบการที่มีความพร้อมสู่เวทีโลก ผ่านการเชื่อมโยงตลาด นักลงทุน พร้อมเปิดโอกาสให้ร่วมงานแสดงนวัตกรรมระดับนานาชาติ
“ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยที่เก่งมีจำนวนมากแต่ขาดโอกาสในการเชื่อมต่อกับตลาดโลก หน้าที่ของเราคือการสร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เทคโนโลยี และการลงทุนในระดับสากล เรากล้าที่จะเป็นด่านหน้าในการเปิดตลาดให้คนเหล่านี้ไปอยู่ในจุดที่ยังไม่มีใครไป”
ดร.กริชผกา ยกตัวอย่างการพาสตาร์ทอัพไทยไปร่วมจัดแสดงนวัตกรรมในงาน VivaTech 2025 เวทีเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป หรืองาน HKTDC Food Expo PRO 2025 ที่พาผู้ประกอบการไทยด้านนวัตกรรมอาหารไปร่วมงาน ขณะที่ผู้ประกอบการไทยด้านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพก็ได้ไปแสดงผลงานนวัตกรรมในงาน MEDICA ที่เยอรมนี รวมไปถึง 12 ทีมสตาร์ทอัพที่ได้ไปเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ Scaleup Impact! Thailand x Sweden Global Startup Acceleration Program ที่สตอกโฮล์ม สวีเดน
หรือภาพความสำเร็จของงาน ‘SITE 2025’ มหกรรมนวัตกรรม-สตาร์ทอัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่งจบไป มีเครือข่ายสตาร์ทอัพชั้นนำระดับโลกจาก 10 ประเทศพันธมิตร ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ เช็ก ฮังการี ฟินแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ กาตาร์และชิลี พร้อม 20 องค์การนานาชาติ กว่า 100 หน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ 13 หน่วยงานภาครัฐ กว่า 12 องค์กรเอกชนชั้นนำ 7 สมาคมวิชาชีพและ 50 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่พร้อมใจมาช่วยเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย อีกทั้งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในระบบนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ ตั้งแต่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี นักลงทุน นักวิจัย ภาครัฐ ไปจนถึงเยาวชนและนิสิตนักศึกษาได้มีส่วนร่วมในเวทีที่ขับเคลื่อนอนาคตร่วมกัน
“ปีนี้เราตั้งใจจะพาสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพออกสู่ตลาดโลกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในอีกหลายประเทศ อาทิ โครงการ Vienna Startup Package ที่เราทำร่วมกับ Vienna Business Agency และ Advantage Austria แห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ในการผลักดัน Impact & Tech Startup ให้เข้าถึงโอกาสในการขยายธุรกิจมายังกลุ่มประเทศ DACH ซึ่งได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ และเดือนพฤศจิกายนนี้เราจะไปงาน Slush ซึ่งเป็นงานเทคที่ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์ และที่อยากให้จับตามองคือ ปีหน้าเราจะบุก Middle East เริ่มที่ซาอุดิอาระเบีย เพราะนี่คือตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อและการลงทุนสูง”
จับตาเทรนด์นวัตกรรม น่านน้ำใหม่ของนวัตกรไทย
เมื่อถามถึงเทรนด์และนวัตกรรมที่จะเป็นโอกาสสร้างการเติบโตและพลิกโฉมชีวิตผู้คน และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนวัตกรไทย นอกจากเหนือจากเทรนด์ด้านเทคโนโลยี AI, IoT, Automation เทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม อย่างพลังงานทางเลือก การประหยัดพลังงานและลดการปลดปล่อยคาร์บอน รวมถึงเทรนด์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งการจัดสรรทรัพยากร สถานการณ์ความขัดแย้งที่ส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตข้ามชาติ ภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ที่ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัว
ดร.กริชผกา มองว่า เทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุและทักษะแรงงาน ก็น่าจับตา เพราะส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ สวัสดิภาพด้านสุขภาพ สินค้าและบริการ
“มันมีทั้งความท้าทายและโอกาสให้การเข้าถึงธุรกิจใหม่ๆ เราอยู่ในยุค Aging society เต็มรูปแบบแล้ว ดังนั้นนวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้สูงวัยกำลังเพิ่มมากขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ”
ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามชายแดนจะกระตุ้นให้หลายประเทศรวมถึงไทยเห็นความสำคัญของ Defense Tech หรือ เทคโนโลยีป้องกันประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะลดการนำเข้าและสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้แก่ประเทศ
“ในเวทีโลก Defense Tech กำลังเติบโตอย่างมาก เรามีการพูดคุยกับหน่วยงานสำคัญอย่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของกองทัพ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยให้ประเทศหรือพัฒนาเพื่อการพาณิชย์ในอนาคต รวมถึงส่งเสริมธุรกิจ Defense Tech เช่น โดรนประสิทธิภาพสูงในการลาดตระเวน หุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด เทคโนโลยีดาวเทียม ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Data Security)”
The Next Chapter, The Next Project
นอกเหนือจากโปรเจกต์ที่สอดแทรกอยู่ใน 4 กลไก Groom-Grant-Growth-Global ที่เล่าไป ดร.กริชผกา บอกว่า สิ่งที่จะได้เห็นอย่างแน่นอนคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลและรายงานผลการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ NIA Innovation Journey & Dashboard 2026 เพื่อเป็นฐานข้อมูลผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม สินค้าหรือบริการที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA รวมถึงข้อมูลการเติบโตของผู้ประกอบการนวัตกรรม ซึ่งสามารถนำชุดข้อมูลมาวิเคราะห์สถานการณ์ด้านนวัตกรรม เพื่อนำไปกำหนดทิศทางและกลไกการสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมของประเทศไทยในอนาคต
“เรากำลังพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลที่จะเชื่อมโยงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และ สสว. เพื่อสร้าง Dashboard ที่ทำให้เห็นการเดินทางและการเติบโตของผู้ประกอบการนวัตกรรมได้อย่างครบวงจร มีชุดข้อมูลสำหรับวิเคราะห์สถานการณ์ด้านนวัตกรรม ทำให้สามารถปรับปรุงการให้บริการเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมชั้นนำของประเทศ”
นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาระบบการให้บริการผู้ประกอบการให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและโปร่งใส
“ที่ผ่านมาภายในองค์กรของเรามีความเป็น Digital Organization มานานแล้ว เอกสารภายในเราปรับเป็นดิจิทัลทั้งหมด แต่ปีหน้าเราจะเปลี่ยนเอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารขอทุน การเบิกจ่าย ให้เป็นดิจิทัลเช่นกัน เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้รับทุน สามารถเช็คสถานะการขอทุนและเบิกจ่ายได้ด้วยตัวเองทางออนไลน์ ทำให้เกิดความโปร่งใส ในทางกลับกันเราก็สามารถดึงข้อมูลมาใช้ได้ง่ายขึ้น”
ดร.กริชผกา กล่าวทิ้งท้ายว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ชาตินวัตกรรม’ ได้นั้น NIA ไม่สามารถขับเคลื่อนเพียงลำพัง ต้องผนึกกำลังกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนล้วนได้รับประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ในบทบาทของผู้นำนวัตกรรม เราพร้อมที่จะซัพพอร์ตและช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการองค์ความรู้ในการเป็นองค์กรนวัตกรรม SME และ Social Enterprise ที่ต้องการเครื่องมือสนับสนุน ส่วนสตาร์ทอัพเรามีกลไกลช่วยสนับสนุนตลอดการเดินทาง ฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในมิติไหนและอยากทำเรื่องนวัตกรรม ขอให้นึกถึง NIA เรามีกลไกครบมือช่วยท่านได้ทั้งหมด”
“Lifelong Learning ด้านนวัตกรรมมีอยู่จริงที่ NIA”