ทรัมป์ประกาศชัย หลังศาลสูงสหรัฐบังคับใช้คำสั่งห้าม 6 ชาติอาหรับเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความพยายามในการผลักดันคำสั่งห้ามผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่มาจากชาติมุสลิม 6 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ แต่ก็ประสบความล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้ง จนเกิดการตั้งคำถามว่าประธานาธิบดีมีอำนาจมากน้อยเพียงใดในการออกคำสั่ง โดยขณะนี้ศาลสูงสหรัฐได้เห็นชอบคำสั่งดังกล่าวแล้วบางส่วน โดยปรับให้มีความประนีประนอมมากยิ่งขึ้น และจะเดินหน้าพิจารณาส่วนอื่นต่อไป แม้ศาลในบางมลรัฐจะยุติการพิจารณาประเด็นนี้เป็นการชั่วคราวแล้วก็ตาม

Photo: Brendan Smialowski/AFP

การที่ศาลสูงสหรัฐนำคำสั่งนี้กลับมาบังคับใช้ (เพียงบางส่วน) อีกครั้งเป็นการชั่วคราว ก่อนที่จะมีการวินิจฉัยว่าคำสั่งนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับออกแถลงการณ์ว่า การบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวถือเป็นการประกาศชัยชนะครั้งสำคัญของตนในการเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ หลังจากที่พยายามผลักดันร่างคำสั่งนี้ให้มีผลบังคับใช้มาโดยตลอด

ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “ในฐานะประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ผมไม่สามารถอนุญาตให้ผู้คนที่ต้องการจะทำร้ายประเทศแห่งนี้เดินทางเข้าประเทศของพวกเราได้ ผมต้องการให้ผู้คนที่อยู่ที่นี่รักประเทศนี้ เป็นพลเมืองที่ขยันทำงานและมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้ประเทศนี้เดินไปข้างหน้า”

หากคำสั่งห้ามการเดินทางเข้าประเทศของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจากประเทศมุสลิม อันได้แก่ อิหร่าน โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย ลิเบีย และเยเมน มีผลบังคับใช้ชั่วคราวจริง บุคคลที่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นอเมริกันในทางใดทางหนึ่ง (Bona Fide Relationship) จะยังได้รับการยกเว้น เช่น การเป็นคู่สมรส สมาชิกในครอบครัว ลูกจ้าง หรือนักศึกษา

Photo: Brendan Smialowski/AFP

อีกทั้งทางการสหรัฐฯ จะใช้ช่วงระยะเวลา 90 วันที่คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ตรวจสอบและคัดกรองนักท่องเที่ยวจาก 6 ชาติมุสลิมนี้มากขึ้น และจะสิ้นสุดคำสั่งนี้ในเดือนตุลาคม เมื่อศาลสูงสหรัฐกลับมาประชุมกันในประเด็นนี้อีกครั้ง

คาเรน ทุมลิน (Karen Tumlin) ผู้อำนวยการของ National Immigration Law Center ในนครลอสแอนเจลิส ชี้แจงว่า “หากคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้จริงจะถูกใช้ในวงจำกัดมาก โดยมันจะมีผลกระทบต่อคนกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับผู้คนในประเทศนี้ หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาล”

ด้านผู้อำนวยการสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (Council on American-Islamic Relations) อย่างนิฮัด อาวัด (Nihad Awad) กล่าวว่า “หลายภาคส่วนเข้าใจสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์และทำเนียบขาวกำลังใช้ความพยายามในการผลักดันนโยบายนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของเหตุก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายเกรงว่านโยบายดังกล่าวมุ่งเน้นต่อต้านความเป็นมุสลิมมากจนเกินไป และสิ่งนี้จะทำให้ความเกลียดกลัวมุสลิม (Islamophobia) ก่อตัวมากยิ่งขึ้นในรัฐบาลชุดนี้”

Photo: TIMOTHY A. CLARY/AFP

ในช่วงแรกที่มีการพยายามบังคับใช้คำสั่งห้ามกลุ่มคนเหล่านี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน เดิมทีมี 7 ประเทศมุสลิมเป้าหมาย ซึ่งมีอิรักรวมอยู่ด้วย และยืดเวลาสำหรับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่มาจากซีเรียออกไปเป็น 120 วัน แต่ต่อมามีการถกเถียงกันในประเด็นนี้และตัดสินใจปรับแก้เนื้อหาโดยถอดอิรักออกจากประเทศเป้าหมาย เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังปรับลดระยะเวลาให้แก่ซีเรียเหลือ 90 วันเท่าประเทศอื่นๆ

ศาลประจำมลรัฐต่างๆ ได้ถกเถียงต่อประเด็นนี้ทั้งในช่วงที่เสนอตอนต้น แม้ภายหลังที่มีการปรับแก้แล้ว แต่ยังมีเสียงคัดค้านและไม่เห็นด้วยต่อการบังคับใช้คำสั่งนี้ โดยศาลประจำมลรัฐอย่างในเวอร์จิเนีย ฮาวาย แคลิฟอร์เนีย และแมรีแลนด์ ต่างมองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติ ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และเน้นโจมตีประชาชนที่นับถือศาสนาหรือมีถิ่นกำเนิดที่แตกต่างจากคนอเมริกัน

Photo: TIMOTHY A. CLARY/AFP

หากคำสั่งนี้ผ่านการเห็นชอบและมีการประกาศใช้ นั่นหมายความว่าประชาชนจากประเทศมุสลิม 6 ชาติจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น คือพวกเขาจะต้องยืนยันให้ได้ว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นอเมริกันหรือสหรัฐฯ ในทางใดทางหนึ่งจริง

ศาลสูงสหรัฐจะประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 2 ตุลาคม และ 21 ธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยจะมีการหยิบยกประเด็นการห้ามการเดินทางเข้าประเทศของประเทศมุสลิมทั้ง 6 ประเทศอีกครั้งอย่างแน่นอน และคำสั่งห้ามคนมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้อีกครั้งหลังจากที่คณะผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐทั้ง 9 คนออกคำตัดสินคำสั่งนี้ภายใน 72 ชั่วโมง โดยมีการคาดการณ์กันว่าคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดในอีก 3 เดือนข้างหน้าอาจจะไม่มีความหมาย เพราะมาตรฐานการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ และรักษาความมั่นคงภายในประเทศอาจจะถูกยกระดับให้เข้มงวดและรัดกุมมากยิ่งขึ้นกว่าคำสั่งที่ประกาศใช้เป็นการชั่วคราวอยู่ในขณะนี้ด้วยซ้ำ

แถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันนี้จึงเป็นการประกาศชัยชนะตามเจตจำนงที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศที่ต้องการป้องกันภัยก่อการร้าย แต่อาจมาพร้อมกับข้อถกเถียงเกี่ยวกับความหลากหลายทางเชื้อชาติ

อ้างอิง: