สหประชาชาติ เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับประชากรโลกฉบับปี 2017 พบว่า จำนวนประชากรโลกกลางปี 2017 มีประมาณ 7.6 พันล้านคน ซึ่งในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น 1 พันล้านคน โดยเฉลี่ยแล้วประชากรโลกเพิ่มขึ้น 83 ล้านคนทุกๆ หนึ่งปี
ประชากรอายุมากกว่า 60 ปี เพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุด
ในปี 2017 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 13% ของประชากรทั้งโลก ประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี มีสัดส่วนคร่าวๆ ประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด หรือ 26% ขณะที่ 61% ของประชากรโลกหรือมากกว่าครึ่ง มีอายุระหว่าง 15-59 ปี
ปัจจุบันประชากรโลกที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีประมาณ 962 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ย 3% ทุกปี
สังคมผู้สูงอายุจะเกิดทั่วภูมิภาคของโลกในปี 2050 ทุกภูมิภาค ยกเว้นแอฟริกา จะมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด
สังคมผู้สูงอายุกำลังเกิดขึ้นในยุโรปและญี่ปุ่น
ยุโรปคือภูมิภาคที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากที่สุด (25%) ขณะที่ญี่ปุ่นคือประเทศที่มีจำนวนประชากร 60 ปีขึ้นไปมากที่สุดในโลก (33%) รองลงมาคืออิตาลี (29%) ฟินแลนด์ บัลแกเรีย เยอรมนี โปแลนด์ (28%) โครเอเชีย (27%) เอสโตเนีย ฝรั่งเศส กรีซ ฮังการี มอลตา (26%) ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ (25%)
ประเทศรายได้สูงเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ประชากรอายุน้อยกระจุกตัวอยู่ในประเทศยากจน
รายงานฉบับล่าสุดสะท้อนโครงสร้างประชากรโลกว่า 47% ของประชากรอายุต่ำกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อย ขณะที่ 68% ของประชากรอายุมากกว่า 75 ปี อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้สูง
จำนวนประชากรเพศหญิงและเพศชายไม่ต่างกันมากนัก
ในจำนวนประชากร 1,000 คน เป็นผู้ชาย 504 คน เป็นผู้หญิง 496 คน
เอเชียมีประชากรมากที่สุด แต่อัตราการเพิ่มของชาวแอฟริกันมากที่สุด
- เอเชีย 4.5 พันล้านคน
- แอฟริกา 1.3 พันล้านคน
- ยุโรป 742 ล้านคน
- ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 646 ล้านคน
- อเมริกาเหนือและโอเชียเนีย 361 ล้านคน
- โอเชียเนีย 41 ล้านคน
แม้ภูมิภาคเอเชียจะมีประชากรมากที่สุด แต่คาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 2017-2050 อัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรในภูมิภาคแอฟริกาจะมากที่สุดที่ 1.3 พันล้านคน รองลงมาคือชาวเอเชีย 750 ล้านคน ด้านยุโรปคือภูมิภาคเดียวที่มีประชากรลดลง
ประชากรโลกมีโอกาสลดลงก่อนปี 2100
สหประชาชาติคาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2017 ที่ประชากรโลกมี 7.6 พันล้านคน ปี 2030 คาดการณ์ว่าจำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 8.4-8.7 พันล้านคน ปี 2050 เพิ่มขึ้น 9.4-10.2 พันล้านคน และปี 2100 เพิ่มขึ้น 9.6-13.2 พันล้านคน
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ 27% ว่าช่วงก่อนปี 2100 จำนวนประชากรโลกอาจจะเริ่มคงที่หรือลดลง
ปี 2024 จำนวนประชากรอินเดียอาจแซงหน้าจีน
ปัจจุบันจีนคือประเทศที่มีประชากรมากที่สุด โดยมีประชากร 1.41 พันล้านคน และอินเดียคือประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองที่ 1.34 พันล้านคน แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของชาวอินเดียที่มากกว่าชาวจีนจะทำให้อินเดียเริ่มมีประชากรเท่ากับหรือมากกว่าจีนในปี 2024 ที่ 1.44 พันล้านคน และหลังจากนั้นประชากรอินเดียจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1.5 พันล้านคนในปี 2030 และ 1.66 พันล้านคนในปี 2050 ขณะที่จำนวนประชากรจีนจะคงที่ตั้งแต่ปี 2024 ถึงปี 2030 และจากนั้นจะเริ่มลดลง
ผู้หญิงแอฟริกันให้กำเนิดบุตรมากที่สุด
แอฟริกาคือทวีปที่อัตราการเพิ่มของประชากรสูงที่สุดในปี 2015-2020
โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงแอฟริกา 1 คน จะให้กำเนิดบุตร 4.43 คน
ผู้หญิงแถบโอเชียเนีย 1 คน จะให้กำเนิดบุตร 2.43 คน
ผู้หญิงในเอเชีย 1 คน จะให้กำเนิดบุตร 2.15 คน
ผู้หญิงในลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 1 คน จะให้กำเนิดบุตร 2.04 คน
ผู้หญิงในอเมริกาเหนือ 1 คน จะให้กำเนิดบุตร 1.86 คน
ขณะยุโรปให้กำเนิดบุตรน้อยที่สุด คือผู้หญิงยุโรป 1 คนจะให้กำเนิดบุตร 1.62 คน
แรงงานเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ย้ายถิ่นไปยุโรปและอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่อง
ในปี 2010-2015 ยุโรป อเมริกาเหนือและโอเชียเนียเป็นภูมิภาคปลายทางที่รับแรงงานอพยพต่างชาติมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี โดยอเมริกาเหนือคือภูมิภาคที่คนย้ายถิ่นฐานไปอาศัยมากที่สุดในโลกที่ 1.1 ล้านคน รองลงมาคือยุโรป 800,000 คน และโอเชียเนีย 200,000 คน
ขณะที่คนจากภูมิภาคเอเชียย้ายออกจากถิ่นฐานตัวเองมากที่สุดถึง 1.1 ล้านคน รองลงมาคือแอฟริกาที่มีคนย้ายถิ่นฐานออก 7 แสนคน และลาตินอเมริกา 4 แสนคน
จำนวนประชากรไทยอาจลดลงในปี 2050
ประเทศไทยเป็นประเทศที่จำนวนประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายที่ประมาณ 1.7 ล้านคน โดยผู้หญิงไทย 1 คนให้กำเนิดบุตรเฉลี่ยแล้ว 1.46 คน ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าประชากรของไทยจะลดลงจากประมาณ 69 ล้านคน เหลือประมาณ 65 ล้านคนในปี 2050 และประมาณ 47 ล้านคนในปี 2100
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
ที่มา: