×

Apple เปิดตัวนวัตกรรมแบบจัดเต็ม! ‘iMac Pro’ รองรับ ​VR และลำโพงอัจฉริยะ ‘HomePod’

06.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read

 

  • งาน WWDC 2017 นับเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 28 โดยจัดขึ้น ณ หอประชุม McEnery เมืองแซนโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่พวกเขาเลือกกลับไปจัดงานที่หอประชุมดังกล่าว และให้เหตุผลว่าต้องการให้นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วทุกมุมโลกมีโอกาสได้มาพบปะกับวิศวกรจาก Apple อย่างทั่วถึง (หอประชุม McEnery อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของพวกเขาในเมืองคูเปอร์ติโน)
  • มีการประกาศเปิดตัวนวัตกรรมด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ ถึง 6 รายการ ไล่ตั้งแต่ tvOS, WatchOS 4, ตระกูล Mac, iOS, iPad และ HomePod
  • นวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดของงานเห็นทีจะหนีไม่พ้น iMac Pro และ HomePod โดยรายเเรกได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น Mac ที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา ขณะที่รายหลังก็เป็นการกระโดดเข้าไปร่วมศึกในตลาดลำโพงอัจฉริยะขนาบข้าง Amazon Echo และ Google Home อย่างเต็มตัว
  • นอกจากนี้ Apple ยังเน้นการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้สอดคล้องกับการสร้างคอนเทนต์แบบ VR และ AR มากขึ้นอีกด้วย

 

     แค่วันแรกของงานประชุมสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Apple ที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีอย่าง WWDC 2017 (The Apple Worldwide Developers Conference) ทิม คุก (Tim Cook) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของ Apple ก็ปล่อยของแบบจัดเต็ม เล่นเอาใครหลายคนเริ่มเช็กเงินในธนาคาร วางแผนการผ่อนชำระของเล่นใหม่ๆ กันแล้ว (เพราะตามธรรมเนียมแล้ววันอื่นๆ มักจะไม่ค่อยเน้นการเปิดตัวนวัตกรรมอะไรมากมายเมื่อเทียบกับวันแรกของงาน)

     งาน WWDC ในปีนี้นับเป็นครั้งที่ 28 โดยจัดขึ้น ณ หอประชุม McEnery เมืองแซนโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่พวกเขาเลือกกลับไปจัดงานที่หอประชุมดังกล่าว (ครั้งล่าสุดคือปี ค.ศ. 2012) หลังย้ายมาจัดงานที่ Moscone Center ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003-2016

การย้ายสถานที่จัดงานในครั้งนี้พวกเขาให้เหตุผลว่า เพราะอยู่ใกล้กับอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของพวกเขา ‘Apple Campus’ เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาที และจะทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งหลายมีโอกาสได้พบกับวิศวกรจากฝั่ง Apple มากขึ้น

     ในปีนี้ Apple และทิมได้สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ ถึง 6 อย่างพร้อมกัน โดยไฮไลต์ที่เด่นที่สุดของงานหนีไม่พ้น iMac Pro คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสเป็กสุดเทพที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘The most powerful Mac ever’ หรือ Mac ที่ทรงพลานุภาพที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว

     ส่วนนวัตกรรมอื่นๆ และไฮไลต์ภายในงานที่เหลือจะมีอะไรบ้าง เราได้รวบรวมมาให้คุณพร้อมๆ กันเเล้ว!

 

 

‘งานสำหรับนักพัฒนาโปรเเกรมก็ต้องชวนคนมาร่วมพัฒนาโปรแกรม’ การเปิดงานเเสนน่ารักโดย Apple และทิม

 

 

 

     สำหรับในปีนี้ Apple เลือกเปิดงาน WWDC ด้วยคลิปโฆษณาวันสิ้นโลก ผ่านการตั้งคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้หากแอปพลิเคชันทั้งหลายหายไป?”

     ก่อนจะพาเราไปเผชิญกับเหตุการณ์วินาศสันตะโรของโลกที่แอปฯ ต้องแปรสภาพมาเป็นกิจกรรมจริงๆ ของมนุษย์ในโลกออฟไลน์ ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นภาพได้อย่างสร้างสรรค์และน่ารัก ก่อนจะตบท้ายด้วยการชวนคนมาพัฒนาแอปฯ และโปรแกรมต่อไปเพื่อให้โลกใบนี้ยังคงดำรงอยู่ (แนะนำว่าควรดูคลิปนี้อย่างยิ่ง)

     หลังจากนั้นทิมก็เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมเสียงปรบมือต้อนรับเกรียวกราว ก่อนจะกล่าวว่า “งาน WWDC ในปีนี้จะเป็นงานที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของ Apple”

     เขายังบอกอีกด้วยว่ามีนักพัฒนาโปรแกรมที่ลงทะเบียนกับบริษัทมากถึง 16 ล้านคน (ปีที่เเล้วลงทะเบียนเพิ่ม 3 ล้านคน) มีนักพัฒนาเข้าร่วมงานนี้มากกว่า 5,300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนพัฒนาโปรแกรมทั้งหมด

     ทิมเริ่มงานด้วยการเน้นกล่าวถึงนักเรียนพัฒนาโปรแกรมของ Apple เป็นหลัก โดยยกตัวอย่างนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดอย่างเจ้าหนู Youma Sorianto วัย 10 ขวบ จากประเทศออสเตรเลีย ที่มีแอปฯ ของตัวเองอยู่ในแอปสโตร์ (App Store) มากถึง 5 แอปพลิเคชัน และคุณยาย Mosako วัย 82 ปี ที่เปิดตัวแอปฯ ชิ้นแรกของเธอไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ก่อนเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงการอัพเดตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จำนวน 6 รายการในหมวดต่างๆ ไล่ตั้งแต่ tvOS, WatchOS 4, ตระกูล Mac, iOS, iPad และ HomePod

 

สรุปนวัตกรรมและระบบปฏิบัติการใหม่ๆ

     สำหรับระบบปฏิบัติการใหม่ๆ ในปีนี้ที่ Apple ได้ประกาศอัพเดตความเคลื่อนไหวกลางงาน WWDC 2017 สามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่

 

tvOS

     ในปีนี้ Amazon จะเข้ามาเป็นหนึ่งในช่องทางการรับชมคอนเทนต์ผ่าน Apple TV และ tvOS เนื่องจากความนิยมของ Amazom Prime Video ที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม

 

 

WatchOS 4

   ทิมบอกว่า Apple Watch เป็นสมาร์ตวอตช์ที่มียอดขายและได้รับความพึงพอใจจากผู้บริโภคนำเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากคนชอบใช้นาฬิกาอัจฉริยะในด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการโชว์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ (กันยายน-ธันวาคม) ก็จะมีการปล่อย WatchOS 4 ออกมาให้ดาวน์โหลดใช้บริการกัน โดยมีรายละเอียดการอัพเดตดังนี้

     – มีหน้าตาอินเทอร์เฟซแบบใหม่ รวมถึงผู้ช่วยอย่าง Siri Face แบบใหม่ที่พร้อมจะเสิร์ฟข้อมูลให้ผู้ใช้งานในแต่ละวัน แจ้งเตือนสิ่งที่ต้องทำหรือแม้แต่การอ่านข่าว

     – กราฟิกหน้าจอลาย ‘Kaleidoscope’ (คาไลโดสโคป) และกราฟิกตัวการ์ตูนจาก Toy Story ทั้งวู้ดดี้, บัซ ไลต์เยียร์ และเจสซี ที่จะมาเป็นหน้าปัดบนนาฬิกาแอนิเมชันต่อจากซีรีส์การ์ตูน Mickey Mouse

      – การเพิ่มฟังก์ชัน Activity ที่จะมาเป็นโค้ชฝึกซ้อมกีฬาให้กับคุณ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องออกกำลังกายผ่านเทคโนโลยี NFC ได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้ได้ข้อมูลการคำนวณการออกกำลังกายที่แม่นยำ​ (รองรับเฉพาะยิมบางแห่ง) และระบบซิงก์เพลงอัตโนมัติ

 

 

ตระกูล Mac

      ระบบปฏิบัติการ macOS High Sierra

     สำหรับระบบปฏิบัติการ High Sierra จะมีการนำ Deep Technology เข้ามาผสมผสาน ซึ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดตัวเบตาในเดือนนี้ และเปิดให้อัพเดตอย่างเป็นทางการในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ธันวาคม) โดยใจความสำคัญของการอัพเดตมีดังนี้

     – เบราว์เซอร์ Safari ที่ถูกเคลมว่าเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่เร็วที่สุดในโลก เหนือ Google Chrome 80 เปอร์เซ็นต์ และมาพร้อมกับระบบ auto play blocking ป้องกันการเล่นวิดีโออัตโนมัติชวนรำคาญใจ

     – เครก เฟเดอริงกิ (Craig Federighi) รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์เเวร์ได้กล่าวเชิงติดตลกประมาณว่า ก่อนหน้านี้ปัญหาที่ผู้ใช้งานหลายรายรู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัวยามท่องเว็บไซต์ เพราะเหมือนมี AI คอยตามเฝ้าจับข้อมูลการใช้งานอยู่ห่างๆ จะได้รับการแก้ไขโดยระบบ ‘Intelligent Tracking Prevention’ ที่ช่วยป้องกันความเป็นส่วนตัว

     – Apple File System 64 bit ที่จะทำให้การคัดลอกไฟล์งานของคุณเร็วและปลอดภัยกว่าเดิม

     – กราฟิก Metal2 ที่จะรองรับการสร้างคอนเทนต์สำหรับแพลตฟอร์ม VR (Virtual Reality)

 

New iMac และ Macbook

     สำหรับ New iMac ได้รับการขนานนามว่าเป็น Mac ที่มีคุณภาพการแสดงผลของหน้าจอดีที่สุดที่เคยมีมา สว่างขึ้นจากเดิม 43 เปอร์เซ็นต์ ประมวลผลด้านกราฟิกเร็วขึ้นจากเดิมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีให้เลือกทั้งขนาดหน้าจอ 21.5 นิ้ว (จอธรรมดาและ 4K ราคาเริ่มต้นที่ 1,099 และ 1,499 เหรียญสหรัฐตามลำดับ) และ 27 นิ้ว (ความละเอียดระดับ 5K ราคาเริ่มต้นที่ 1,799 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งสามารถอัพแรมได้สูงถึง 64 GB โดยเคลมว่า iMac รุ่น 5K จะตอบโจทย์การสร้างคอนเทนต์ VR ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

     ภายในงานยังมีการสาธิตการสร้าง VR ฉากในเกมสตาร์วอร์ส ซึ่งปรากฏให้เห็นดาร์ธ เวเดอร์กวัดแกว่งไลต์เซเบอร์ในระยะประชิด พร้อมเสียงลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์

 

 

     สำหรับ Macbook ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับระบบประมวลผล 7th Gen Intel Core Processor หรือ Kaby Lake โดยมีรายละเอียดราคาดังนี้

     – Macbook เริ่มต้นที่ 1,299 เหรียญสหรัฐ

     – Macbook Pro 13 นิ้ว เริ่มต้นที่ 1,299 เหรียญสหรัฐ

     – Macbook Pro 13 นิ้ว พร้อมทัชบาร์ เริ่มต้นที่ 1,799 เหรียญสหรัฐ

     – Macbook Pro 15 นิ้ว พร้อมทัชบาร์ เริ่มต้นที่ 2,399 เหรียญสหรัฐ

     ขณะที่ Macbook Air จะได้รับการอัพเกรดด้าน Ghz ซึ่งทุกๆ รุ่นจะเริ่มวางจำหน่ายและจัดส่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

ระบบปฏิบัติการ iOS 11

     – iMessage ที่ข้อความจะสามารถซิงก์เชื่อมกันได้ทุกอุปกรณ์ รวดเร็ว แบ็กอัพได้ง่ายกว่า และยังสามารถทำธุรกรรมผ่าน Apple Pay จ่ายเงินให้ใครๆ ก็ได้ (person-to-person payments)

     – Siri ปรับให้มีการลงน้ำหนักเสียงที่แตกต่างกันและเป็นธรรมชาติ (เหมือนเสียงมนุษย์) มากขึ้น สามารถใช้แปลภาษาได้ แต่ยังรับรองแค่การเเปลจากภาษาอังกฤษเป็นจีน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิมด้วยการคาดคะเนสิ่งที่ผู้ใช้งานจะทำหรือพิมพ์จากความสนใจล่าสุด

     – ด้านการถ่ายรูป สามารถเลือกภาพนิ่งจากภาพถ่ายแบบ Live Photos มีหมวด Memories ที่สามารถร้อยเรียงภาพถ่ายต่างๆ เป็นเรื่องราวแบบวิดีโอได้ เช่น เรื่องราวของสัตว์เลี้ยงและการครบรอบแต่งงานของคู่รักผ่านระบบ Machine Learning ที่เรียนรู้ภาพถ่ายของบุคคล สัตว์ และสภาพแวดล้อมจาก Library

     – ปรับอินเทอร์เฟซหน้า Control Center แบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้นและรองรับ 3D Touch

     – สำหรับแผนที่จะมีการอัพเดตฟีเจอร์ใหม่ โชว์แผนผังภายในอาคาร ห้างสรรพสินค้า และสนามบิน เพื่อประโยชน์ในการวางเเผนการเดินทาง (รองรับแค่บางสถานที่เท่านั้น) ส่วนแผนที่สำหรับการเดินทางบนถนนก็มีการบอกความเร็วที่จำกัดและการเปลี่ยนเลน รวมถึงฟีเจอร์ห้ามรบกวนขณะขับรถที่หน้าจอโทรศัพท์จะดับลงชั่วคราว 

     – ด้านการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านก็ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์เพลย์ลิสต์เพลงโปรดของคุณและเพื่อนผ่าน AirDrop ได้ ส่วน Apple Music จะมีการพัฒนาหน้ายูสเซอร์โปรไฟล์ของผู้ใช้งาน และสามารถสอดส่องได้ว่าเพื่อนแต่ละคนกำลังฟังเพลงอะไรกันอยู่

     – อัพเดตหน้าตาของ App Store ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น มีวิดีโอตัวอย่างเกมอัตโนมัติ

     – Machine Learning เข้ามาช่วยในการทำงานของระบบ แต่ยังคงยืนยันเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

     – มีการนำเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เข้ามาประยุกต์ใช้ โดยสาธิตการใช้กล้องที่สามารถเพิ่มแก้วกาแฟ โคมไฟบนโต๊ะ โดยเลื่อนปรับตำแหน่งและความสว่างของเเสงได้ตามต้องการด้วยเทคโนโลยี AR รวมถึงวิดีโอเกมที่เล่นบนพื้นผิวต่างๆ ผ่านการใช้กล้องและเซนเซอร์ที่รวดเร็ว ทั้งนี้ Apple ตั้งใจจะเป็นเเพลตฟอร์ม AR ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตั้งเป้าหมายว่าในปลายปีนี้จะมีเกมที่ใช้เทคโนโลยี AR ปล่อยมาให้ดาวน์โหลดมากขึ้น เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ธันวาคม)

 

 

 

New iPad Pro 10.5 นิ้ว

     – หน้าจอกว้างขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ หนัก 1 ปอนด์ มีคีย์บอร์ดมากกว่า 30 ภาษา

     – ProMotion 120Hz Display Rate ซึ่งจะช่วยให้การเลื่อนหน้าจอ scroll ลื่นไหลขึ้นมา ใช้ชิปประมวลผล A10X เร็วกว่า CPU Performance 30 เปอร์เซ็นต์ และ Graphic Performance 40 เปอร์เซ็นต์ ใช้งานแบตเตอรีได้ 10 ชั่วโมง

     – กล้องหลังที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้องหน้าที่ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล

     – รุ่น 10.5 นิ้ว ความจุ 64 GB (649 เหรียญสหรัฐ), 256 GB (749 เหรียญสหรัฐ) และ 512 GB (949 เหรียญสหรัฐ)

     – รุ่น 12.9 นิ้ว ความจุ 64 GB (799 เหรียญสหรัฐ), 256 GB (899 เหรียญสหรัฐ) และ 512 GB (1,099 เหรียญสหรัฐ) โดยจะเปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันนี้ และจัดส่งในสัปดาห์หน้า

     – นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัว iOS 11 สำหรับ iPad ที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะยกระดับการใช้งาน iPad Pro ขึ้นไปอีกระดับ            

          – Dock ล่างหน้าจอที่ช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น ลากภาพที่เพิ่งเปิดใช้มาลงในคีย์โน้ตได้ทันที

          – Multitasking ใช้งานหลายๆ เเอปฯ ได้พร้อมกัน  

          – Drag and Drop ลากข้อความ URL เว็บไซต์ หรือภาพจากอัลบั้มรูปมาลงในอีเมลได้อย่างอิสระ        

          – Apple Pencil ที่รองรับการใช้งานแบบ screenshot writing เขียนทับไฟล์รูปได้ทันที และยังใช้ระบบ Machine Learning ช่วยจดจำลายมือของผู้ใช้งานได้อีกด้วยว่าเขียนอะไร 

 

สองพระเอกของงาน iMac Pro และ HomePod

 

 

     ภายใต้การอัพเดตนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่บ้าเลือดเล่นใหญ่โดย Apple รวดเดียวกว่า 6 อย่าง พระเอกของงานในวันนี้คงหนีไม่พ้นคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง iMac Pro และ HomePod

     โดยเฉพาะรายแรกที่เป็นนวัตกรรมชิ้นเดียวที่อยู่เหนือความคาดหมายและการคาดเดาของสื่ออย่าง TechCrunch ทั้งยังได้รับการเคลมว่าเป็น เครื่อง Mac ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่เว้นแม้แต่ทิม คุก ที่ให้นิยามเจ้า iMac Pro ว่าเป็น Badass หรือไอ้จอมแสบ! อีกด้วย

     จากการเปิดเผยโดย John Ternus รองประธานฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ของ Mac และ iPad​ ระบุว่า iMac Pro มาดดุสีเทาเข้มจะมาพร้อมกับความละเอียดของหน้าจอแบบ Retina 5k หน่วยประมวลผล 8 Core Xeon ที่สามารถอัพได้สูงสุดถึง 18 Core, หน่วยประมวลผลด้านกราฟิก Radeon Vega Graphic (11-22 teraflops) หน่วยความจำที่ 128GB โดยจะกลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพในการทำงานด้านกราฟิก ตัดต่อ งาน VR และแอนิเมชันไปโดยปริยาย โดยสนนราคาเริ่มต้นที่ 4,999 เหรียญสหรัฐ มีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนธันวาคมนี้

 

   

      ขณะที่ในฝั่ง HomePod ลำโพงอัจฉริยะประดับบ้านก็ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิดที่เพลงเป็นหนึ่งในดีเอ็นเอสำคัญของ Apple มาโดยตลอด ตั้งแต่สมัย iTunes จนมาเป็นเครื่องเล่นเพลงพกพาอย่าง iPod และ iPhone ที่ทำให้ผู้ใช้งานมีเครื่องเล่นเพลงที่ฟังเพลงได้มากกว่า 40 ล้านเพลง

     แต่ก็ยังไม่มีเครื่องเล่นเพลงภายในบ้านสักที กระทั่งเกิดเป็น HomePod ในที่สุด

     HomePod คือลำโพงอัจฉริยะขนาด 7 นิ้วที่หุ้มด้วยผ้าแบบ 3 มิติ ขับเคลื่อนด้วยชิป A8 โดยสร้างขึ้นภายใต้คอนเซปต์ 3 ประการ ได้แก่

     Rock The House เสียงดี – ชุดลำโพงทวีตเตอร์ 7 แพ็ก วูฟเฟอร์ 4 นิ้ว และปรับเบสแบบอัตโนมัติ

     Spatial Awareness โดดเด่น สวยงาม วางไว้ที่ไหนก็ได้ – นอกจากนี้ก็ยังมีการตรวจจับสภาพเเวดล้อมจากตำแหน่งที่ตั้ง Pod เพื่อให้ผู้ใช้ได้ฟังเพลงที่มีคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทุกๆ ตำแหน่งของมุมห้อง

     Musicologist ตัวช่วยให้พบเพลงที่ใช่ – ทำงานร่วมกับ Apple Music เพื่อหาเพลงที่คุณชอบจาก 40 ล้านเพลง 2 ล้านศิลปิน ผ่านการตอบสนองโดยไมโครโฟน 6 ทิศทางที่ Siri จะคอยรับฟังคำสั่งของคุณ และยังถามไถ่เรื่องราวต่างๆ รวมถึงเป็นผู้ช่วยในการควบคุมคำสั่งของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เช่น การสั่งเปิด-ปิดไฟ, เครื่องปรับอากาศ และโทรทัศน์ และยังได้รับการการันตีถึงความปลอดภัยในการไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้งานอีกด้วย

     ตัวเครื่องมาพร้อมกับสีขาวและสีเทาสเปซเกรย์ สนนราคาอยู่ที่ 349 เหรียญสหรัฐ โดยจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนธันวาคมนี้ที่สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย และในปีหน้าจะมีการเริ่มวางจำหน่ายตามประเทศต่างๆ มากขึ้น

     อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการที่ Apple เลือกเปิดตัว HomePod ในช่วงนี้ก็อาจจะหมายถึงการพาตัวเองเข้าไปท้าชนลั่นกลองศึกใส่คู่แข่งในตลาดลำโพงอัจฉริยะภายในบ้านอย่าง Amazon Echo และ Google Home เลยก็ว่าได้

     ที่สำคัญทั้ง Echo (179 เหรียญสหรัฐ) และ Home (129 เหรียญสหรัฐ) ต่างก็มีราคาวางจำหน่ายถูกกว่า Pod อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งการเปิดตัวช้ากว่า แต่เลือกวางจำหน่ายในราคาที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ก็อาจจะตีความได้ว่า ถ้า Apple ไม่บ้า HomePod ของพวกเขาก็ต้องมีลูกเล่นความเจ๋งที่ซ่อนอยู่อีกมากมายแน่นอน!
ช่วงท้ายของงานทิมยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า งาน WWDC ในวันพรุ่งนี้จะมีการเชิญอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา มิเชล โอบามา (Michelle Obama) มาขึ้นบรรยายในหัวข้อการเพิ่มขีดความสามารถให้กับมนุษย์อีกด้วย

 

อ้างอิง

    – www.apple.com/newsroom/2017/02/wwdc-apples-worldwide-developers-conference-returns-to-san-jose-june-5-9-2017/

FYI
  • มีการคำนวณระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 10 (ระบบปฏิบัติการล่าสุด) ว่าสูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์ มีอัตราผู้ใช้งานคิดเป็น 83 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ใช้งานระบบแอนดรอยด์เวอร์ชันล่าสุดมีแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
  • ทุกวันนี้มีผู้ใช้งาน Siri กว่า 375 ล้านคนทั่วโลก
  • มีผู้ใช้งาน Apple Music มากกว่า 27 ล้านคน
  • สถิติของ App Store ระบุว่า มีผู้ใช้งานคลิกเข้าไปเยี่ยมชมมากกว่า 500 ล้านคนต่อสัปดาห์ มียอดการดาวน์โหลดสูงถึง 1.8 แสนล้าน (นับจนถึงปัจจุบัน ไม่รวมการดาวน์โหลดซ้ำและการอัพเดตแอปฯ) โดยมีจำนวนเงินที่จ่ายให้ผู้พัฒนาแอปฯ มากกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising