วันนี้ (1 กุมภาพันธ์) กิตติ พรศิวะกิจ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), ประธานกรรมการ Smart Tourism สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และนายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD ถึงเรื่องนักท่องเที่ยวจีนว่า ปัจจุบันยังมีคนร้องเรียนเรื่องทัวร์จีนศูนย์เหรียญเข้ามา ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่หนึ่งคือระดับผู้ประกอบการทัวร์ กลุ่มนี้มีจำนวนลดลงเนื่องจากไทยเรามีการปราบปรามอย่างจริงจัง ทำให้ย้ายไปทำที่ประเทศอื่นแทน
ขณะที่กลุ่มที่สองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน คือเป็นกลุ่มที่ครองห่วงโซ่การท่องเที่ยว (Ecosystem) ของนักท่องเที่ยวทั้งวงจร อาจจะไม่ใช่ศูนย์เหรียญหนักๆ แบบเมื่อก่อน แต่เป็นลักษณะนอมินีมากกว่า หลักๆ คือให้คนไทยเป็นนอมินีเปิดบริษัท พนักงานทั้งหมดเป็นจีนหมดเลย หรือคนจีนอาจจะมาในลักษณะของซื้อโรงแรม ซื้อร้านอาหาร เราจะเห็นว่ามีร้านอาหารที่ดูจีนมากๆ แหล่งท่องเที่ยวเป็นจีนทั้งหมด ร้านขายของฝากก็จีนหมด อันนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะว่าเงินมันจะไม่เข้าประเทศเท่าไรเลย คนไทยแทบจะไม่ได้ประโยชน์
นอกจากนี้ยังมีไกด์เถื่อน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายไทย เพราะมัคคุเทศก์ตามกฎหมายต้องเป็นคนไทย แต่เรามีเคสที่เรียกว่า Sitting Guide จะมีประเภทที่หนึ่งคือไม่จ้างคนไทยเลย จ้างมัคคุเทศก์จีน ซึ่งเขาก็จะอยู่ในวงของเขาทั้งหมด พนักงานโรงแรมก็เป็นคนจีน กับอีกประเภทหนึ่งคือ Sitting Guide จ้างมัคคุเทศก์มานั่งเฉยๆ ให้ถูกกฎหมาย อันนี้ยอมรับว่าเอาผิดยากเหมือนกัน เพราะว่าทางกฎหมายคุณก็จ้างมัคคุเทศก์แล้ว ในกฎหมายก็จะบอกว่าในหนึ่งกลุ่มไม่เกิน 40 คน ถ้าเป็นลักษณะนำเที่ยวต้องมีมัคคุเทศก์หนึ่งคน แต่ว่าในทางปฏิบัติเขาก็จะมีไกด์จีนอีกคนหนึ่งมาสมทบ ก็อาจจะให้ข้อมูลท่องเที่ยวที่อาจจะไม่ค่อยถูกต้องด้วยซ้ำ หรือว่าพาไปช้อปปิ้งในร้านของเขาเท่านั้น ซึ่งปัญหานี้ ททท. พยายามหาวิธีการแก้ไขอยู่
