×

‘สิงคโปร์’ อยู่ร่วมกับโควิดอย่างไร ในวันที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น

15.10.2021
  • LOADING...
สิงคโปร์ โควิด

“เราต้องเดินหน้าต่อไปด้วยยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิด ตอนนี้เราต้องทำอะไรเป็นขั้นตอนต่อไป ในการเริ่มต้นและโดยพื้นฐานที่สุดเราต้องอัปเดตมายด์เซ็ตของเรา เราควรยำเกรงโควิด แต่เราต้องไม่หยุดชะงักด้วยความกลัว ให้เราดำเนินกิจกรรมประจำวันตามปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยใช้มาตรการป้องกันที่จำเป็นและปฏิบัติตามมาตรการจัดการอย่างปลอดภัย (Safe Management Measures: SMMs) ด้วยการฉีดวัคซีน โควิดได้กลายเป็นโรคที่ไม่รุนแรงสำหรับพวกเราส่วนใหญ่”

 

ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ วัย 69 ปี แถลงผ่านโทรทัศน์เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโควิดในสิงคโปร์และเส้นทางสู่ความปกติใหม่ (New Normal) เมื่อเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา

 

ในขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสิงคโปร์ เขาเริ่มต้นจากความขัดแย้งทางความคิดระหว่างฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศเริ่มฟื้นฟูจากโควิดกับฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง เท้าความถึงยุทธศาสตร์ ‘กำจัดโควิด’ (Zero COVID) ที่เคยประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ระหว่างนั้นสิงคโปร์ได้จัดหาวัคซีนเตรียมไว้จนปัจจุบันเป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งวัคซีนเป็นตัวพลิกเกมที่ทำให้โควิดไม่ใช่โรคอันตรายอีกต่อไป

 

ปัจจุบันสิงคโปร์เปลี่ยนมาใช้ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ร่วมกับโควิด’ (Living with COVID) แต่ไม่ใช่หนทางที่ง่ายดาย ถึงแม้จะมีความครอบคลุมของวัคซีนมากถึง 80% แล้วก็ตาม แต่ด้วยการผ่อนคลายมาตรการและสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นสายพันธุ์เดลตาทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมีสัดส่วน 0.2% ซึ่งถือว่ามากสำหรับสิงคโปร์ จนต้องปรับเพิ่มมาตรการการจัดการอย่างปลอดภัย (SMMs) เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบสาธารณสุข และนำโครงการพักฟื้นที่บ้าน (Home Recovery) มาใช้

 

เขากล่าวกับประชาชนตามตรงว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะยังเพิ่มขึ้นอีกในอีกหลายสัปดาห์ เมื่อถึงจุดหนึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลง เราไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไร แต่จากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ หวังว่าจะภายใน 1 เดือนหรือประมาณนั้น การต่อสู้กับโควิดกินระยะเวลายาวนานและสงครามยังดำเนินต่อไป แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานะที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้วหรือแม้แต่ 6 เดือนที่ผ่านมา บางครั้งอาจไม่รู้สึกอย่างนั้น ‘แต่เรากำลังเดินหน้าไปสู่ความปกติใหม่อย่างมั่นคง’

 

7 มาตรการที่สิงคโปร์เดินหน้าสู่ New Normal

ลีเซียนลุงใช้เวลาในการแถลงประมาณ 25 นาที ผู้ที่สนใจสามารถเปิดฟังทาง YouTube หรืออ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ทางเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างประเทศ หลังจากนั้นคณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีหลายกระทรวง (Multi-Ministry Task Force) ได้แถลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมาตรการควบคุมโควิดตามยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิด ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทั้งการตรวจหาเชื้อ การกักตัว การรักษา และการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ กล่าวคือ

 

  1. การยกเลิกคำสั่งให้กักตัวสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิด 

เริ่มวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ผู้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้าจะไม่ได้รับคำสั่งให้กักตัว แต่จะได้รับคำเตือนความเสี่ยงด้านสุขภาพ (Health Risk Warning) แทน ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องการให้แนวทางด้านสาธารณสุขง่ายขึ้น แต่ต้องอาศัยความรับผิดชอบส่วนบุคคลและจัดการด้วยตนเอง โดยผู้ที่ได้รับคำเตือนจะต้องกักตัวเอง (Self-isolate) ทันทีและตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ART (Antigen Rapid Test) ในวันเดียวกัน 

 

หากผลการตรวจเป็นลบ ผู้นั้นสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติหลังจากอัปโหลดผลการตรวจออนไลน์ และต้องตรวจเช่นนี้ทุกวันจนครบ 7 วัน เมื่อผลการตรวจในวันที่ 7 เป็นลบจะสามารถออกจากการกักตัวเองได้ แต่หากผลการตรวจเป็นบวกและไม่มีอาการ จะต้องกักตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 72 ชั่วโมง แล้วตรวจ ART อีกครั้งจนกว่าผลตรวจจะเป็นลบ และสังเกตอาการ หากมีอาการแย่ลงถึงจะไปพบแพทย์ เพราะฉะนั้นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจะครบกำหนดแยกตัวอย่างเร็วที่สุด 4 วัน

 

  1. การตรวจ PCR สำหรับผู้ที่มีอาการเท่านั้น Polymerase Chain Reaction (PCR) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส จะถูกสำรองไว้สำหรับผู้ที่รู้สึกไม่สบายหรือมีอาการภายในแนวทางด้านสาธารณสุขใหม่ ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการ เช่น การตรวจหาเชื้อในชุมชน ในผู้สัมผัสใกล้ชิดจะใช้ชุดตรวจ ART ซึ่งสามารถตรวจหาเชื้อและกักตัวเองได้รวดเร็ว โดยแต่ละครอบครัวจะได้รับชุดตรวจอย่างน้อย 10 ชุดสำหรับการแจกจ่ายทางไปรษณีย์ในรอบระหว่าง 22 ตุลาคม – 7 ธันวาคมนี้

 

  1. การพักฟื้นที่บ้านสำหรับประชาชนส่วนใหญ่

(ตรงกับมาตรการ Home Isolation ของไทย) ผู้ติดเชื้อที่ ‘ไม่ได้รับวัคซีน’ อายุระหว่าง 12-49 ปี และเด็กอายุ 5-11 ปี จะเข้าสู่โครงการพักฟื้นที่บ้านตั้งแต่แรก เพราะมีความเสี่ยงต่ำจากอาการหนัก ส่วนผู้ติดเชื้อที่ ‘ได้รับวัคซีนครบ’ อายุระหว่าง 70-79 ปี จะต้องพักฟื้นที่บ้านหลังจากได้รับการสังเกตอาการและการประเมินความเสี่ยงในการล้มป่วย โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบจะสามารถออกจากการแยกกักตัวเองได้ในวันที่ 10 เป็นต้นไป ส่วนผู้ไม่ได้รับวัคซีนจะออกจากการแยกกักตัวเองในวันที่ 14

 

  1. ห้ามผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนนั่งในศูนย์อาหารริมทางและร้านกาแฟ

ไม่เพียงแต่การรักษา มาตรการป้องกันโรคก็มีการแบ่งแยกผู้ที่ได้รับ-ยังไม่ได้รับวัคซีนด้วย คาดว่าน่าจะเป็นมาตรการกึ่งบังคับให้คนเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบจะสามารถนั่งในศูนย์อาหารริมทาง (Hawker) ร้านกาแฟ หรือสถานที่ท่องเที่ยว และจำกัดการรวมกลุ่มไม่เกิน 2 คน เริ่มวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ครบต้องซื้อแบบกลับบ้านเท่านั้น

 

  1. การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นขยายถึงบุคลากรทางการแพทย์และอาชีพด่านหน้า 

สิงคโปร์เริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนชนิด mRNA ให้กับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มอย่างน้อย 6 เดือน ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน ต่อมาในเดือนนี้ได้จัดสรรวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มเติมให้กับบุคลากรทางการแพทย์และอาชีพด่านหน้าตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ต้องขัง ผู้ทำงานในบ้านพักคนชรา รวมถึงผู้ที่มีอายุ 30-50 ปีขึ้นไป โดยไม่จำกัดอาชีพด้วย 

 

  1. การฉีดวัคซีนในเด็ก 

นายกฯ สิงคโปร์ยังกล่าวถึงเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในกลุ่มนี้ ผู้ปกครองหลายคนกังวลว่าเด็กจะติดเชื้อ ถึงแม้จะเด็กที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการรุนแรง ทางการสิงคโปร์กำลังติดตามความก้าวหน้าการวิจัยวัคซีนในเด็กในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และจะเริ่มฉีดวัคซีนให้กับเด็กโดยเร็วที่สุดเมื่อวัคซีนได้รับการรับรองและผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัย โดยคาดว่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงต้นปีหน้า

 

  1. การท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว (Vaccinated Travel Lanes: VTL) สิงคโปร์ต้องการกลับมาเชื่อมต่อกับโลกอีกครั้ง เนื่องจากบริษัทและนักลงทุนต้องการดำเนินธุรกิจ ประชาชนต้องการท่องเที่ยว นักศึกษาต้องเดินทางไปต่างประเทศ ครอบครัวและเพื่อนจากต่างประเทศต้องการใช้เวลาร่วมกัน จึงมีโครงการ VTL นำร่องกับเยอรมนีและบรูไนไปแล้ว และล่าสุดคือเกาหลีใต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วมีความเป็นไปได้ในการเดินทางอย่างปลอดภัย

 

ประเทศในโครงการ VTL ที่จะเริ่มวันที่ 19 ตุลาคมนี้ ได้แก่ แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ส่วนเกาหลีใต้จะเริ่มวันที่ 15 พฤศจิกายน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์โดยไม่ต้องกักตัว แต่ต้องมีผลการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR ก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมง และตรวจหาเชื้ออีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึง ส่วนการเดินทางปกติสิงคโปร์แบ่งประเทศออกไป 4 กลุ่ม โดยกลุ่มเสี่ยงสูงจะต้องกักตัว 10 วัน และตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง

 

ข้อสังเกตแนวทาง New Normal ของสิงคโปร์

สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน โดยจัดหาวัคซีนตั้งแต่ยังใช้ยุทธศาสตร์กำจัดโควิด เมื่อฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมทำให้สามารถเปลี่ยนมาเป็นยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างมั่นใจ และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อ โดยเริ่มจากผู้สูงอายุก่อน ถัดมาเป็นบุคลากรทางการแพทย์และวัยทำงาน ส่วนเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปีน่าจะเริ่มฉีดวัคซีนเร็วๆ นี้ ความแตกต่างในการปฏิบัติตัวระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเป็นมาตรการกึ่งบังคับให้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

 

แนวทางด้านสาธารณสุขใหม่ทำให้สิงคโปร์ก้าวเข้าใกล้ ‘ความปกติเดิม’ มากขึ้น ทั้งการยกเลิกคำสั่งกักตัวสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิด โดยใช้การตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ART (คือชุดตรวจเดียวกับ ATK ในไทย) ทุกวันจนครบ 7 วันแทน การตรวจหาเชื้อด้วยตนเองและการแยกตัวเองที่บ้านอย่างน้อย 4 วันในกรณีตรวจพบผลบวกและไม่มีอาการ การตรวจด้วยวิธี PCR เฉพาะผู้ที่มีอาการและให้พักฟื้นที่บ้านอย่างน้อย 10 วันในกรณีที่ได้รับวัคซีนครบแล้วแต่อาการไม่รุนแรง 

 

ในขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสิงคโปร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันมากกว่า 3,000 รายต่อวัน แนวทางนี้จึงลดภาระของระบบสาธารณสุขลง ทั้งการตรวจหาเชื้อและการรักษา แต่ขณะเดียวกัน 98.5% ของผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ระยะเวลาของแต่ละมาตรการที่สั้นลงก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันน้อยลงไปด้วย สำหรับไทม์ไลน์ของการเข้าสู่ความปกติใหม่ นายกฯ สิงคโปร์คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน หรืออาจนานถึง 6 เดือน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X