ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นอ่านถ้อยแถลง ณ ที่ประชุมสุดยอดผู้นำโลก (World Leader Summit) ในเวที COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ที่มีตอนหนึ่งระบุว่า
“…วันนี้ผมจึงมาพร้อมกับเจตนารมณ์ในความท้าทายอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่ และด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน ค.ศ. 2065 และด้วยการสนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่และเท่าเทียม รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถจากความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ผมมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถยกระดับ NDC ของเราขึ้นเป็น 40% ได้ ซึ่งจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิของไทยเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2050…”
ในที่นี้ เราจะถอดรหัสถ้อยแถลงข้างต้นที่กำกวมและขาดความชัดเจน เพื่อทำความเข้าใจต่อจุดยืนและบทบาทของประเทศไทย ในเรื่องปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ
40% เป้าหมายใหม่ในแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี 2564-2573 (NDC) มาจากไหน?
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างถึงเป้าหมายใหม่ 40% ของแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พ.ศ. 2564-2573 (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030 หรือ NDC) อย่างไรก็ตาม ในเอกสารฉบับปรับปรุงล่าสุดที่ส่งไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ก็ยังยืนยันเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายหลัง พ.ศ. 2563 ที่ 20-25% จากกรณีปกติ
แล้วเป้าหมาย 40% ในถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีมาจากไหน?
เมื่อย้อนหลังไปดูการแถลงข่าวในวันที่ 27 ตุลาคม 2564 โดยวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกรอบท่าทีการเจรจาของไทยในการประชุม COP26 ก็ระบุเพียงว่า จะมีการประกาศและจัดส่งยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategies: LT-LEDS) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) รวมถึงประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) แต่ก็ไม่มีการอ้างถึงเป้าหมาย NDC 40% แต่อย่างใด
เป้าหมาย Net Zero ต้องพึ่งการชดเชยคาร์บอนที่เป็นเรื่องหลอกลวง
การกำหนดเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2065 มาจากผลการศึกษาการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ในเบื้องต้นระบุว่า ประเทศไทยจะมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions) โดยเร็วที่สุดภายในระยะครึ่งหลังของศตวรรษนี้ และมีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด (Peak GHG Emissions) ใน ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ขณะเดียวกัน จะมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายใน ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) ผ่านการดำเนินงานตามแผนพลังงานชาติ ซึ่งมุ่งเน้นมาตรการสำคัญ เช่น การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน การใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานเพื่อรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมาย NDC ใหม่ 40% ในถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีที่กลาสโกว์ น่าจะล้อไปกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสูงสุดใน ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) หรือ Peak Greenhouse Gas Emissions ของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ
การคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในกรณีปกติ (Business As Usual) ใน พ.ศ. 2573 จากภาคพลังงาน (รวมการขนส่ง) ภาคของเสีย ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และภาคเกษตรกรรม (ยังไม่รวมภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้) อยู่ในราว 555 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หากพิจารณาตามเป้าหมาย NDC ใหม่ 40% ตามถ้อยแถลง COP26 ที่กลาสโกว์โดยนายกรัฐมนตรีไทย ก็เท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจก 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
หรืออีกนัยหนึ่ง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดใน พ.ศ. 2573 ภายใต้ NDC จะเป็น 333 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำนั้นคาดประมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2573 ไว้ที่ 370 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นมาจากการอ้างอิงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกันในปี 2548 ที่ใช้เป็นปีฐาน (Base Year)
Net Zero และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
การดำเนินงานตามแผนพลังงานชาติถือเป็นหัวใจหลักในการไปให้ถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ตามแนวทาง Net Zero คือภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ (Land Use, Land Use Change, and Forestry: LULUCF) ซึ่งมีข้อวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านอย่างกว้างขวาง ในประเด็นที่ว่า ‘Net Zero’ คือช่องทางให้อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเดินหน้าสำรวจ ขุดเจาะ สกัด และเผาไหม้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันต่อไปตามเดิม และจ่ายเงินจ้างใครสักคนทำการดึง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศโดยการปลูกป่าชดเชย กลไกซื้อขายคาร์บอน (Emission Trading) หรือใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage)
การคาดการณ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ระบุว่า ศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกในภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2580 และอยู่ในระดับคงที่จนถึงสิ้นศตวรรษนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวมาจากเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่สีเขียวในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สรุปโดยรวม ภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ (Land Use, Land Use Change, and Forestry: LULUCF) จะมีส่วนดูดซับคาร์บอนในสัดส่วน 5.6% ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งหมดในปี 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลังจาก พ.ศ. 2593 จะเป็นไปตามแนวทางของ IPCC ที่ขีดจำกัดอุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส โดยที่ภายใน พ.ศ. 2633 ประเทศไทยจะบรรลุความสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดต่างๆ และการดึงก๊าซเรือนกระจกกลับด้วยแหล่งดูดซับต่างๆ
ในอีกด้านหนึ่ง ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ระบุถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน 2 ฉากทัศน์ โดยเน้นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานและคมนาคมขนส่ง ภาคของเสีย ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และภาคเกษตรกรรม คือ
- ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2613 ซึ่งจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างน้อย 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ภายใน พ.ศ. 2593 และรถยนต์ใหม่ในตลาดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) สัดส่วน 69% ภายใน พ.ศ. 2578 และ
- ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2608 ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่ใช้นโยบายและมาตรการเดียวกับฉากทัศน์แรก โดยเพิ่มการปรับปรุงประสิทธิภาพทางพลังงาน รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ต้นทุนสูงลิบลิ่ว และไม่ได้รับการพิสูจน์
มุ่งลดการปล่อยเป็นศูนย์ที่แท้จริง (Real Zero)
เป็นที่ชัดเจนว่า แผน Net Zero และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของไทย ที่ส่งให้กับเวทีประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP26 ที่กลาสโกว์ นั้นเป็นแผนการตกแต่งบัญชีการปล่อยคาร์บอน โดยไม่พิจารณาถึงระบบพลังงานหมุนเวียน 100% และการปลดระวางถ่านหินแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง (Real Zero) และทำได้จริงหากรัฐบาลไทยมีเจตจำนงทางการเมืองที่แรงกล้า
ในกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า จะมีการกำหนดนโยบายที่ไม่เพิ่มปริมาณสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน และจะทยอยปลดระวางโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหิน และคาดว่าจะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินเข้าสู่ระบบ ตั้งแต่ พ.ศ. 2593 เป็นต้นไป นั้นเป็นเพียงการถ่วงเวลา การวิเคราะห์ในรายงาน ‘ปลดระวางถ่านหินเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมในประเทศไทย (Coal Phase-Out and Just Transition in Thailand)’ โดยกองทุนแสงอาทิตย์, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และกรีนพีซ ประเทศไทย ฉายภาพให้เห็นว่า รัฐบาลไทยสามารถปลดระวางถ่านหินได้อย่างเร็วที่สุดภายใน พ.ศ. 2570 หรืออย่างช้าที่สุดภายใน พ.ศ. 2580 ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอยไดออกไซด์ลงได้ 47.1 ล้านตัน หากรัฐบาลยังเพิกเฉยไม่เห็นความสำคัญ ก็จะไม่สามารถปลดระวางการใช้ถ่านหินได้เลยในอนาคต
รัฐบาลไทยต้องทบทวนแผน ‘Net Zero Emissions’ แผนการใดๆ ที่จะมีขึ้นต้องมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่โปร่งใส เพื่อลดการปล่อยจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็นศูนย์ที่แท้จริง ส่วนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมจะต้องทำให้ชัดเจน และแยกออกจากการใช้ประโยชน์จากวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการปกป้องผืนป่า อธิปไตยของชนเผ่าพื้นเมือง และการฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศ โดยเป็นการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมภายในประเทศเท่านั้น ไม่ขึ้นอยู่กับกลไกการซื้อขายและชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsetting) ระหว่างประเทศ
อ้างอิง: