×

คนไทยเปย์สัตว์เลี้ยงสูงมากจน ‘เนสท์เล่’ ลงทุนขยายไลน์ผลิตอาหารแมวเกรดพรีเมียมชิงเค้ก ย้ำอากาศร้อนดันยอดขายน้ำดื่ม-กาแฟชงพุ่ง

24.04.2024
  • LOADING...

เทรนด์คนไทยชอบเปย์สัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ทำให้ ‘เนสท์เล่ ประเทศไทย’ ลงทุนขยายไลน์ผลิตโรงงานอาหารแมวเกรดซูเปอร์พรีเมียมทั้งชนิดเปียกและชนิดแห้ง พร้อมนำนวัตกรรมยกระดับให้อาหารสัตว์มีรสชาติหลากหลาย ชิงกำลังซื้อคนเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมย้ำอากาศร้อนดันยอดขายน้ำดื่มและกาแฟชงเพิ่มขึ้น

 

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า แนวทางดำเนินธุรกิจของเนสท์เล่ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเติมตลาดอยู่เป็นระยะๆ 

 

โดยแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2021-2025 วางงบลงทุนไว้ที่ 8,000 ล้านบาท เพื่อขยายสายการผลิตในกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มยูเอชทีภายใต้แบรนด์ต่างๆ เช่น ไมโล ตราหมี S-26 และคาร์เนชั่น รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง โรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ทั้งสองแห่ง 

 

“เรามองเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดสัตว์เลี้ยงมาตั้งแต่ช่วงโควิด ในช่วงที่หลายคน Work form Home มีเวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงที่บ้านมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้เงินดูแลสัตว์เลี้ยง สร้างอานิสงส์ให้กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตค่อนข้างมาก แน่นอนว่าเทรนด์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย แต่รวมไปถึงต่างประเทศด้วย”

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เนสท์เล่ จึงเตรียมขยายกลุ่มโปรดักต์สัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น และในเม็ดเงินลงทุนรวมของบริษัทก็แบ่งมาลงทุนในกลุ่มนี้เกินกว่าครึ่ง พร้อมเดินหน้าให้ความรู้ในด้านโภชนาการอาหารที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง เพราะต้องยอมรับว่าวันนี้คนไทยกว่า 60% ยังให้สัตว์เลี้ยงกินอาหารคนอยู่ ถ้าผลักดันเรื่องนี้ได้ก็จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอาหารสัตว์ให้เติบโตด้วยเช่นกัน

 

สำหรับแนวทางในการดำเนินงานในปีนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอให้แข็งแกร่ง โดยเนสท์เล่ ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โฟกัสเรื่องรสชาติ โภชนาการ และราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าราคา 5-10 บาท ซึ่งปัจจุบันกลุ่มสินค้าราคานี้คิดเป็น 40% ของสินค้าทั้งหมด เพื่อเป็นทางเลือกและตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้อย่างครอบคลุม 

 

ทั้งนี้การพัฒนาสินค้าจะต่อยอดจากผลสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกที่จัดทำโดยเนสท์เล่และคันทาร์ในปี 2022 พบว่า 91% ของผู้บริโภคคนไทยต้องการรับประทานอาหารที่ดี และต้องการให้คนในครอบครัวมีการกินอยู่อย่างสมดุล แต่อาจมีปัจจัยเรื่องราคาและเวลาทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเพื่อสุขภาพได้ แถมยังมองว่าสินค้าสุขภาพส่วนใหญ่มักจะมีราคาสูง

 

ดังนั้นเนสท์เล่จึงได้แบ่งพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน มีหลากหลายแบรนด์ เช่น เนสกาแฟ ไมโล นมตราหมี เนสวิต้า น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ และแม็กกี้ 

 

ตามด้วย 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ เนสท์เล่ เฮลท์ ไซเอนซ์ และผลิตภัณฑ์เพื่อโภชนาการเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ S-26 ตราหมี คาร์เนชั่น และแนน และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้อย่างพอประมาณ เช่น ไอศกรีมเนสท์เล่ คิทแคท เนสท์เล่ คอฟฟีเมต

 

วิคเตอร์ เซียห์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้าอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้เป้าหมายของเราต้องการสร้างการเติบโตทุกกลุ่มภายใต้ 2 กลยุทธ์หลัก

   

กลยุทธ์แรก เร่งขยายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Grow a Healthier Portfolio) ลดน้ำตาลและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ในราคาเข้าถึงได้ ยกตัวอย่างที่ได้เปิดตัวแม็กกี้สูตรลดโซเดียมออกมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยปัจจุบันเนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ 

 

ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมการรับประทานอย่างสมดุล (Guide with Balanced Choice) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง ด้วยการปรับสูตรอาหารให้ผู้บริโภคได้รับประทานอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่าง ไอศกรีมสำหรับเด็กทุกชนิดที่ให้พลังงานเพียง 110 กิโลแคลอรีหรือน้อยกว่า และจะมีการระบุปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมบนบรรจุภัณฑ์ในแต่ละมื้ออย่างชัดเจน 

 

โดยภาพรวมประเมินว่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มในไทยปี 2024 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ร้อนมากกว่าทุกๆ ปี ทำให้กลุ่มสินค้าน้ำดื่ม ไอศกรีม กาแฟชงมียอดขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีเรายังเติบโตตามการเติบโต ตลอดจนแรงหนุนของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากท่องเที่ยวและการส่งออก รวมถึงเงินอุดหนุนสำหรับผู้มีรายได้น้อย

 

อีกด้านก็มีความท้าทายเรื่องต้นทุนสินค้าและราคาพลังงานที่สูงขึ้นทั่วโลก รวมถึงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงก็อาจกระทบบ้างเล็กน้อย ซึ่งต้องพยายามรักษาความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ แต่ตามแนวของบริษัทจะไม่โยนภาระไปให้ผู้บริโภค ซึ่งการขึ้นราคาสินค้าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะพิจารณา

 

และการทำธุรกิจนอกจากจะเน้นรายได้และกำไรแล้ว เนสท์เล่ยังมุ่งเรื่องความยั่งยืน โดยปัจจุบัน 96% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ขณะที่โรงงานผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่ที่พระนครศรีอยุธยาสามารถชดเชยน้ำกลับคืนสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ 100% และมีการลดการปล่อยคาร์บอนตามแผนงานที่ตั้งไว้เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising