×

เสาะหาเบื้องหลังกาแฟคุณภาพดีที่ดูแลเกษตรกรและโลกไปพร้อมกันในโครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ [PR NEWS]

โดย THE STANDARD TEAM
05.05.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 min read
  • เนสกาแฟ ให้คำมั่นว่าจะพัฒนาโลกแห่งกาแฟให้ทุกแก้วมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับทุกคน และต้องเป็นมากกว่ากาแฟที่มีรสชาติดีและมีคุณภาพสูง แต่ต้องเป็นกาแฟที่มาจากการเพาะปลูกอย่างยั่งยืนอีกด้วย   
  • THE STANDARD มีโอกาสลงพื้นที่จังหวัดชุมพร แหล่งเพาะปลูกกาแฟหลักของเนสกาแฟ เพื่อเยี่ยมชมโครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ เสาะหาเบื้องหลังการได้มาซึ่งกาแฟคุณภาพของเนสกาแฟ ที่ผู้บริโภคชาวไทยจะมั่นใจได้ว่าทุกแก้วที่ได้ดื่มคือกาแฟคุณภาพ ที่ดูแลทั้งเกษตรกรและโลกของเราไปพร้อมๆ กัน  
  • โครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ ขับเคลื่อนด้วยหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศไทย พร้อมช่วยฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อม ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายหลักของเนสท์เล่ภายใต้แผนงานสู่ Net Zero 2050 

เชื่อหรือไม่ว่า ทุกวินาที (หรือแม้แต่ตอนที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่) มีคนที่กำลังดื่มเนสกาแฟมากกว่า 5,500 แก้วทั่วโลก

 

ข้อมูลข้างต้นนี้ไม่ใช่คำกล่าวอ้างเกินจริง เพราะ ‘เนสกาแฟ’ เป็นแบรนด์กาแฟชั้นนำระดับโลก หนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของ ‘เนสท์เล่’ ที่อยู่คู่คอกาแฟทั่วโลกกว่า 85 ปี 

 

ในประเทศไทย ‘เนสกาแฟ’ ภายใต้ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 50 ปี ครองตำแหน่งแบรนด์ที่มีผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุดติดต่อกัน 14 ปี จากผลสำรวจ Thailand’s Most Admired Brand 2023 

 

 

โจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ย้ำเสมอว่าเบื้องหลังความสำเร็จของกาแฟคุณภาพของเนสกาแฟนั้น มาจากความทุ่มเทของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ พร้อมให้คำมั่นที่จะพัฒนาโลกแห่งกาแฟให้ทุกแก้วมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับทุกคน ทำให้เนสกาแฟเป็นมากกว่าแค่กาแฟที่มีรสชาติดีและมีคุณภาพสูง แต่ต้องเป็นกาแฟที่มาจากการเพาะปลูกอย่างยั่งยืนอีกด้วย

 

เมื่อพูดเรื่องความยั่งยืน THE STANDARD ตามติดพันธกิจด้านความยั่งยืนของ เนสท์เล่ ประเทศไทย มาโดยตลอด นับตั้งแต่วันที่ วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ประกาศความมุ่งมั่นในโอกาสครบรอบ 130 ปี ที่เนสท์เล่ ประเทศไทยได้อยู่เคียงคู่กับสังคมไทย นอกจากการขับเคลื่อนธุรกิจโดยยึดมั่นปรัชญา Good food, Good life อาหารที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี วิคเตอร์บอกว่า เนสท์เล่ ประเทศไทย จะสร้างคุณค่าให้กับสังคมไทยโดยเน้นการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภคคือ ‘Good for you’ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติอร่อย รวมไปถึงการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา ‘Good for the planet’ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของเนสท์เล่เป็นไปอย่างยั่งยืนภายใต้แผนงานสู่ Net Zero 2050 

 

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

 

เป็นโอกาสดีเมื่อเนสท์เล่ ประเทศไทย ชวน THE STANDARD ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร แหล่งเพาะปลูกกาแฟหลัก เพื่อเยี่ยมชมโครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ เพื่อไปดูให้เห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จของกาแฟคุณภาพจากความทุ่มเทของเกษตรกรไทย โดยมีหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเพาะปลูกกาแฟ 

 

ก่อนเยี่ยมชมแปลงเกษตรสาธิตเนสท์เล่ อำเภอท่าแซะ ในจังหวัดชุมพร โจโจ้เล่าภาพรวมและความคืบหน้าโครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ โครงการเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทยที่ริเริ่มมาอย่างยาวนาน

 

“เนสกาแฟ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาวงการกาแฟในประเทศไทย เรามีนักวิชาการเกษตรลงพื้นที่ทำงานกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยให้พวกเขาทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ได้ผลผลิตที่ดีขึ้น มีแหล่งรายได้ที่หลากหลายและมั่นคง นำมาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี” 

 

จนถึงวันนี้ เนสกาแฟช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้วกว่า 2,900 คน และสหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟ 4 แห่งให้ผ่านการรับรองมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ในระดับสากล กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีกว่า 3.6 ล้านต้นให้แก่เกษตรกรไทย ความทุ่มเทและการทำงานเคียงข้างเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในท้องถิ่น ส่งผลให้เนสกาแฟและเกษตรกรประสบความสำเร็จร่วมกันในการพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟตามมาตรฐานด้านความยั่งยืน โดยเมล็ดกาแฟทุกเมล็ดที่เนสกาแฟรับซื้อจากเกษตรกรในประเทศไทยได้รับการรับรองมาตรฐาน 4C ทั้ง 100% แล้ว

 

โจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด

 

“โครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน 2030’ จะยังคงนำเสนอกาแฟคุณภาพดีเพื่อผู้บริโภคชาวไทย ด้วยเมล็ดกาแฟที่เพาะปลูกอย่างยั่งยืน 100% และยังเป็นกาแฟที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของเรา ด้วยการนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาปรับปรุงใช้ในการพัฒนาคุณภาพดิน ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตร การดำเนินการตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เนสท์เล่เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ได้” โจโจ้กล่าว  

 

แต่การก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 จะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมือจากพันธมิตรสำคัญอย่าง (GIZ) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี ที่มาร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทยผ่านโครงการ ‘คอฟฟี่พลัส’ ส่งเสริมผู้ปลูกกาแฟรายย่อยไทยสู่การเป็นนักธุรกิจเกษตรมืออาชีพ ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 และพัฒนาหลักสูตร Farmer Business School ฝึกอบรมด้านการเป็นผู้ประกอบการสวนกาแฟให้กับเกษตรกรแล้วถึง 2,000 ราย และเพิ่มรายได้สุทธิจากฟาร์มให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟสูงขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว 

 

รวมถึง PUR Projet บริษัทเอกชนสัญชาติฝรั่งเศส ที่มีส่วนช่วยฝึกอบรมเกษตรกรในการดำเนินโครงการปลูกต้นไม้ในสวนกาแฟ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโครงการหลักในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าปลูกต้นไม้จำนวน 800,000 ต้น ระหว่างปี 2022-2026 ที่จังหวัดระนองและชุมพร เพื่อให้สอดคล้องไปกับแผนงานของเนสท์เล่ระดับโลกที่มีเป้าหมายปลูกต้นไม้ให้ได้ 200 ล้านต้นภายในปี 2030  

 

ทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด

 

ระหว่างเยี่ยมชมแปลงเกษตรสาธิตเนสท์เล่ ซึ่งเป็นแปลงที่มีแม่พันธุ์คัดเลือกอยู่ 2 สายพันธุ์ จำนวนกว่า 4,000 ต้น ทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการผลิตกาแฟคุณภาพดีต้องมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เนสกาแฟจึงมีนักวิชาการการเกษตรที่ทำงานอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว จนนำเมล็ดกาแฟมาขายให้กับเนสท์เล่ ประเทศไทย รวมถึงฝึกอบรมองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้แก่เกษตรกรต่อเนื่องมากว่า 40 ปี 

 

“การที่บริษัทจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราต้องมีพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเราผลิตวัตถุดิบที่ยั่งยืนด้วยเช่นกัน ต้องยอมรับว่าภาคการเกษตรเป็นผู้ใช้ทรัพยากรและก่อให้เกิดของเสียจากฟาร์ม เนสท์เล่จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในระยะยาว”

 

ทาธฤษ ยังอธิบายถึงหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูที่สอดคล้องไปกับความมุ่งมั่น 3 ด้านของเนสท์เล่ ได้แก่ ‘ปกป้อง’ ให้ทรัพยากรคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ ‘ทดแทน’ เช่นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี การใช้พลังงานสะอาด และ ‘ฟื้นฟู’ ความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ และการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ

 

แปลงแม่พันธุ์กาแฟโรบัสต้า อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร

 

ภายใต้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู นักวิชาการเกษตรของเนสท์เล่ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การเกษตรผสมผสานด้วยการปลูกพืชมากกว่า 1 ชนิดในแปลง การปลูกกาแฟร่วมกับป่า การปลูกพืชคลุมดินหรือหาวัสดุคลุมดิน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อช่วยฟื้นฟูคุณภาพและความสมบูรณ์ของดิน ตลอดจนปกป้องแหล่งน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ คงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

 

โชคดีที่การลงพื้นที่ครั้งนี้ THE STANDARD ได้เห็นตัวอย่างแปลงปลูกพืชผสมผสานที่เนสท์เล่ทำขึ้นภายในพื้นที่ที่มีการปลูกทุเรียนร่วมกับต้นกาแฟ ใช้แฝกเป็นตัวช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน บริเวณขอบแปลงสามารถปลูกผักได้ เป็นการปลูกพืชผสมผสานแบบวางผัง ทาธฤษบอกว่าความหลากหลายทางชีวภาพนอกจากจะช่วยลดความเครียดให้กับต้นกาแฟ ยังส่งเสริมให้พืชทุกชนิดเติบโตไปด้วยกัน  

 

“ข้อดีของระบบการปลูกแบบ Intercropping คือการหมุนเวียนธาตุอาหาร ต้นไม้แต่ละชนิดมีระบบรากแตกต่างกัน นอกจากจะช่วยเหลือเรื่องการบังลมบังแดดให้แก่กัน พืชยังต้องการธาตุอาหารที่ต่างกันด้วย การปลูกลักษณะนี้จึงทำให้การหมุนเวียนของธาตุอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเห็นได้ชัดว่า Intercropping ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนจากพืชที่อยู่ในแปลงหลากหลาย กว่า 96% ของผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้าในตอนนี้เป็น Intercropping หมดแล้ว” 

 

 

เนสกาแฟจึงใช้โอกาสการลงพื้นที่ครั้งนี้ เดินหน้าโครงการปลูกต้นไม้ในสวนกาแฟ นำทีมโดยผู้บริหารระดับสูงของเนสท์เล่ระดับโลกและเนสท์เล่ ประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และสื่อมวลชน ร่วมกันทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ในสวนกาแฟครั้งแรกของปี 2566 โดยเลือกต้นแคบ้าน พืชตระกูลถั่วที่สามารถดึงไนโตรเจนในอากาศลงสู่ดินได้ ยอดและดอกก็กินได้  

 

 

วิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวว่า “กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากของจังหวัดชุมพร ทางจังหวัดได้มีการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชาวสวนกาแฟรุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ การที่เนสกาแฟเข้ามาดำเนินงานโครงการต่างๆ จะยิ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน และยังช่วยให้เกษตรกรจังหวัดชุมพรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”   

 

 

บริบทของการเพาะปลูกกาแฟปรับเปลี่ยนไปกว่าช่วง 4 ทศวรรษ การดำเนินงานโครงการ ‘เนสกาแฟ แพลน’ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ และผลสำเร็จมากมาย หากยังจำกันได้ ‘เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น สุราษฎร์ธานี’ กาแฟซิงเกิล ออริจิน รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ก็เป็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิชาการเกษตรลงไปทำงานกับ พงษ์ศักดิ์ บาลเมือง เกษตรกรชาวสุราษฎร์ธานี เพื่อปรับปรุงคุณภาพเมล็ดกาแฟในแปลง ดูแลเอาใจใส่ทุกขั้นตอน จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีเนสกาแฟ โรบัสต้า คอนเทสต์ 2020 ซึ่งเป็นการเฟ้นหาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ใช่ ครั้งแรกในประเทศไทย

 

ยังมีตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดจากการทุ่มเททำงานร่วมกันระหว่างเนสกาแฟและเกษตรกรอีกมากมายที่ได้เห็นในวันนั้น อาทิ การส่งเสริมให้เกษตรกรนำแกลบกาแฟที่เคยถูกเผาทิ้งกว่าแสนตันต่อปี มาทำเป็นปุ๋ยหมักจากแกลบกาแฟ ซึ่งเกษตรกรที่นำองค์ความรู้นี้ไปทดลองปฎิบัติ สามารถสร้างมูลค่าทางการเกษตรให้กับแกลบกาแฟได้กว่า 200 ตันต่อปี สร้างรายได้ให้กับกลุ่มเกษตกรกว่า 1 ล้านบาท 

 

สุพัตรา เงินทอง หนึ่งใน NESCAFÉ Farmer Ambassador และทีมผู้บริหารเนสท์เล่ 

 

หรือตัวอย่างของ สุพัตรา เงินทอง หนึ่งใน NESCAFÉ Farmer Ambassador หลังจากมีโอกาสเดินทางไปดูการปลูกกาแฟที่เวียดนาม ก็กลับมาพัฒนาและเปลี่ยนวิธีการปลูกกาแฟใหม่ ทำปุ๋ยหมักใช้เอง และยังส่งต่อความรู้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ และยังมีเกษตรกรที่ทดลองปลูกกาแฟแบบเวียดนาม จนสร้างผลผลิตได้สูงถึง 460 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มจากเดิม 3 เท่า 

 

หรือแม้แต่ตัวอย่างของเกษตรกรจังหวัดระนองที่ทำฟาร์มผสมผสาน ปลูกพืชปกคลุมในแปลงกาแฟหลายชนิด อาทิ พริก มะละกอ กล้วย จุดเด่นคือมีการเลี้ยงวัว แพะ หมู แล้วนำมูลกลับมาเป็นปุ๋ยใช้ในฟาร์ม ทำให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารที่สมบูรณ์มากขึ้น   

 

 

ทาธฤษบอกว่า ทั้งหมดที่ทำไปเพราะเนสกาแฟมีเป้าหมาย ‘Triple Win+’ ทำให้เกิดความยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ ‘เกษตรกร’ ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความยั่งยืนในอาชีพ ‘สิ่งแวดล้อม’ ต้องถูกฟื้นฟูให้กลับมาสมบูรณ์ และ ‘ภาคธุรกิจ’ ต้องเติบโต แต่การจะเติบโตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีวัตถุดิบที่ยั่งยืนด้วย 

 

“ส่วน Plus (+) ที่ห้อยท้ายนั้นคือ ‘ผู้บริโภค’ เรากำลังจะบอกว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่จะได้ประโยชน์คือผู้บริโภค เพราะเนสกาแฟเชื่อว่าทุกคนบนโลกคู่ควรกับการดื่มด่ำกาแฟคุณภาพดี ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าเนสกาแฟทุกแก้วที่ได้ดื่ม คือกาแฟคุณภาพที่ดูแลทั้งเกษตรกรและโลกของเราไปพร้อมกัน ทุกครั้งที่คุณดื่ม จึงไม่เพียงได้ดื่มด่ำกาแฟคุณภาพดี แต่จะได้ร่วมภูมิใจว่าคุณก็เป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และทำให้โลกยั่งยืนไปพร้อมกัน” ทาธฤษกล่าวทิ้งท้าย 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising