×

เทียบแผ่นดินไหวธรรมชาติ vs. ฝีมือมนุษย์ หักล้างทฤษฎีสมคบคิด ‘ใครทำแผ่นดินไหวญี่ปุ่น’

โดย Mr.Vop
05.01.2024
  • LOADING...

ในวันขึ้นปีใหม่ ขณะที่ผู้คนในญี่ปุ่นกำลังเฉลิมฉลอง ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ถึง 7.6 ที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะ ที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิตามมา ในช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกนั้น ก็มีกระแสข่าวที่โพสต์ออกมาเป็นจำนวนมากในแพลตฟอร์ม X ว่า แผ่นดินไหวใหญ่ในครั้งนี้อาจเป็น ‘ฝีมือของมนุษย์’ จนเกิดแฮชแท็ก #人工地震

 

จากการวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์ของสำนักข่าว NHK เกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโนโตะ พบว่าเมื่อนับถึงเวลา 17.30 น. ของวันที่ 2 มกราคม มีชาวเน็ตแห่โพสต์ถึงประมาณ 250,000 โพสต์ เกี่ยวกับสมมติฐานหรือทฤษฎีสมคบคิดของแผ่นดินไหวที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม มีบางโพสต์ที่ออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ ซึ่งมีโพสต์หนึ่งที่มีผู้เข้าชมเกือบ 8.5 ล้านครั้ง

 

แนวคิดของชาวเน็ตญี่ปุ่นออกไปในแนวทางที่ว่า แผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะครั้งนี้ มีความเกี่ยวพันกับการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

 

ข้อเท็จจริงของแผ่นดินไหวในคาบสมุทรโนโตะเป็นอย่างไร

 

ท่ามกลางความงุนงงสับสน เรามาดูข้อเท็จจริงและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวกันดีกว่า

 

เริ่มจากขนาด หลายคนงุนงงกับขนาดของแผ่นดินไหวในครั้งนี้ เช่น พบว่าเครือข่ายยุโรปอย่าง GEOFON หรือ EMSC และเครือข่ายอเมริกาคือ USGS รายงานขนาดแผ่นดินไหวว่าเป็น 7.5 แต่ทำไม JMA ของญี่ปุ่นรายงานว่า 7.6 แล้วมันคือขนาดเท่าไรกันแน่

 

คำตอบแบบเข้าใจง่ายคือเรากำลังพูดถึงตัวเลขเดียวกัน แต่คนละมาตรา เหมือนเบอร์รองเท้าไซส์เดียวกัน แต่บางยี่ห้อบอกเบอร์​แบบยุโรป บางยี่ห้อ​บอกเบอร์​แบบอเมริกา ก็เลยออกมาคนละตัวเลข  

 

ดังนั้น ขนาดของแผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะ ครั้งนี้ หากวัดตามมาตรา Mjma ของญี่ปุ่น ก็จะได้ 7.6 แต่หากวัดตามมาตราโมเมนต์ หรือ Mw ก็จะออกมา 7.5 ซึ่งเราจะใช้อันไหนก็ได้ ไม่ผิดหลักการ หรือเราอาจจะเพิ่มรายละเอียดลงไปในวงเล็บตามหลัง เช่น 7.5 (Mw) และ 7.6 (Mjma)​ แม้ดูรุงรังหน่อยแต่ก็ชัดเจนดี 

 

ยังมีอีกตัวเลข นั่นคือเลข 7 ที่สื่อและชาวญี่ปุ่นนิยมใช้และเป็นที่เข้าใจกันมากกว่า เลข 7 นี้ไม่ใช่ขนาด แต่คือ ‘ความรุนแรง’ ซึ่งเราสามารถสังเกตง่ายๆ ว่าหากเป็นการพูดถึง ‘ขนาด’ จะมีทศนิยม 1 หลักเสมอ แม้ลงท้ายด้วยศูนย์ เช่น 5.0 แต่หากกำลังพูดถึง ‘ความรุนแรง’ ก็จะเป็นเลขหลักหน่วยตัวเดียวโดดๆ ไม่มีทศนิยม

 

แล้วขนาดกับความรุนแรงต่างกันตรงไหน 

 

‘ขนาด’ คือค่าอ้างอิงตายตัวเหมือนเบอร์หลอดไฟ 100 วัตต์ จะเอาไปไว้ไกลแค่ไหน หลอดไฟหลอดนั้นก็ยังคงเป็น 100 วัตต์ แต่ ‘ความรุนแรง’ นั้นไม่ตายตัว ตัวเลขนี้ขึ้นกับระยะทาง เหมือนยิ่งใกล้หลอดไฟก็ยิ่งสว่าง ซึ่งญี่ปุ่นมีมาตราวัดความรุนแรงที่เรียกว่า ‘ชินโดะ’ โดยในแผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโนโตะในครั้งนี้ มีค่าความรุนแรงเท่ากับ 7 ตามมาตราชินโดะ เกิดขึ้นที่เมืองชิกะ จังหวัดอิชิคาวะ ซึ่งเป็นจุดเหนือจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวพอดี

 

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า แผ่นดินไหวครั้งไหนมาจากมนุษย์ ครั้งไหนมาจากธรรมชาติ

 

 

ตัวบ่งชี้แผ่นดินไหวตามธรรมชาติ vs. ฝีมือมนุษย์

 

สิ่งนี้อาจจะยุ่งยากไปเล็กน้อยสำหรับนักวิทยาศาสตร์แขนงอื่น แต่สำหรับนักแผ่นดินไหววิทยา (Seismologist) นั้นแทบจะบอกได้ในทันทีว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์ ด้วยสิ่งประดิษฐ์หรือเครื่องมือ 2 อย่าง

 

อย่างแรก เรียกว่า Focal Mechanism เป็นแผนภาพรูปวงกลมเหมือนลูกบอลชายหาด มีสีดำ-ขาวสลับกันด้านใน

 

แผนภาพรูปวงกลมนี้จะบ่งบอกถึงทิศทางการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นๆ สีดำหมายถึงพุ่งเข้ามาหาสถานีวัด หรือหมายถึงการบีบอัด การดันขึ้นด้านบน ส่วนสีขาวหมายถึงการคลายตัว

 

แผนภาพรูปวงกลมนี้ เมื่อไม่เกิดแผ่นดินไหวจะเป็นสีขาวล้วน แต่เมื่อใดที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา แผนภาพนี้จะปรากฏเป็น 2 สีคือขาวและดำ เพื่อบอกทิศทางการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก

 

เช่น หากเป็นแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนตามแนวระดับ (Strike-Slip Fault) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่เปลือกโลกสองฟากของรอยเลื่อนเคลื่อนตัวในแนวราบ แผนภาพจะแสดงรูปวงกลมดำ-ขาวคล้ายตารางหมากรุก (วงกลมซ้ายบน)

 

แต่หากแผ่นดินไหวครั้งนั้นเกิดจากการทดลองนิวเคลียร์ แผนภาพรูปวงกลม Focal Mechanism ของนักแผ่นดินไหววิทยา จะแสดงภาพเป็นสี ‘ดำล้วน’ ทั้งวง ไม่มีสีขาวปน เหตุจากแรงอัดไปรอบทิศทางของการระเบิด

 

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหววันปีใหม่ที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะ หน่วยงาน GEOFON แสดงภาพ Focal Mechanism ออกมาให้ทราบว่าเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกแบบย้อนตามแนวเอียงเท (Reverse Dip-Slip Fault) ซึ่งเรายังคงเห็นแผนภาพรูปวงกลมแสดง 2 สีคือดำและขาว ไม่ใช่สีดำล้วน นี่เป็นการยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ฝีมือของเกาหลีเหนือแต่อย่างใด

 

เครื่องมือที่ 2 ของนักแผ่นดินไหววิทยา ก็คือการดูจาก ‘กราฟแผ่นดินไหว’

 

แผ่นดินไหวตามธรรมชาติจะก่อให้เกิดคลื่นออกมา 4 ชนิด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะวิ่งไปตามเนื้อในของโลก (Body Wave) ได้แก่ คลื่นปฐมภูมิ (Primary Wave) หรือ ‘คลื่น P’ และคลื่นทุติยภูมิ (Secondary Wave) หรือ ‘คลื่น S’

 

กลุ่มที่ 2 จะวิ่งไปตามเปลือกโลก (Surface Wave) ได้แก่ คลื่น Love Wave และ Rayleigh Wave 

 

เราสนใจคลื่น P เพราะมันมีความเร็วสูง วิ่งมาถึงสถานีวัดก่อนเพื่อนเสมอ

 

ในแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ คลื่น P จะมีขนาดที่เล็กกว่าคลื่นอื่น อาจใหญ่กว่าคลื่น S ในบางครั้ง แต่ไม่ใหญ่จนโดดเด่น (กราฟสีน้ำเงินในรูปบน)

 

แต่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน (กราฟสีแดงในรูปบน) คลื่น P ที่มาถึงสถานีวัดและปรากฏในกราฟจะมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งกราฟแบบนี้ไม่มีทางเกิดตามธรรมชาติ 

 

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหววันปีใหม่ที่คาบสมุทรโนโตะ จังหวัดอิชิคาวะ ไม่มีกราฟแผ่นดินไหวจากสถานีใดเลยที่แสดงภาพ ‘คลื่น P หัวโต’ ให้เห็น นี่จึงเป็นการยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์แบบรวดเร็วได้ว่า แผ่นดินไหวในวันปีใหม่ที่ญี่ปุ่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเกาหลีเหนือเลย

 

แผ่นดินไหววิทยายังบอกอะไรเราได้อีก

 

แน่นอนว่าด้วยเครื่องมือต่างๆ ของนักแผ่นดินไหววิทยา ทำให้เราทราบได้ทันทีว่า ในโลกเรานี้มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินเกิดขึ้นวันและเวลาใด ที่ประเทศไหน (เราหาพิกัดด้วยการคำนวณเวลาที่คลื่นแผ่นดินไหวเดินทางไปถึงสถานีวัดที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ แล้วหาจุดตัด) แม้ทางการเมืองอาจพยายามปิดบังว่าไม่ได้ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ หรือจะเปลี่ยนผลทดลองที่ไม่สำเร็จให้กลับกลายเป็นตรงข้าม ก็ไม่อาจปิดบังความจริงเอาไว้ได้ และที่สำคัญ เรายังสามารถต่อต้านข่าวลือหรือทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ที่ปรากฏตามโซเชียลมีเดียโดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วย

 

ภาพ: Buddhika Weerasinghe / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X