เรามักจะคิดถึงชีวิตที่น่าอิจฉาและความสามารถอันสูงส่งอยู่เสมอ เวลาพูดถึงใครสักคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และได้รับการยกย่องให้เป็น ‘อันดับหนึ่ง’ ในสิ่งที่พวกเขาเลือกแล้วว่าจะทำ เช่นเดียวกับชื่อ นิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์ หรือ น้าต๋อย เซมเบ้ ที่แน่นอนว่า ในวงการนักพากย์การ์ตูนของประเทศไทย ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักได้มากเท่านี้อีกแล้ว
เขาคือผู้บุกเบิกสไตล์การพากย์ที่โดดเด่นด้วยน้ำเสียง และมุกตลกที่สอดแทรกไปในอากัปกิริยาของตัวละครได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไล่ไปตั้งแต่ หน้ากากเสือ, ดร.สลัมป์, ซุนโงกุน, ไจแอนท์, ฮานามิจิ ซากุรางิ, เคนชิโร่ เทพเจ้าดาวเหนือ ฯลฯ ล้วนมีเขาเป็นผู้ปลุกตัวละครเหล่านี้ให้มีชีวิตชีวาและเป็นที่รักของแฟนการ์ตูนทั้งประเทศ รวมทั้ง ซาเอบะ เรียว จาก City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ เวอร์ชันการ์ตูน ที่เขากำลังจะได้กลับมารับหน้าที่นั้นอีกครั้ง ในภาพยนตร์ City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ เวอร์ชันฝรั่งเศส ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 14 มีนาคมนี้
ถึงแม้จะมีช่วงเวลาหลายปีนับตั้งแต่เขาเริ่มมีอาการป่วยจนต้องพักงานในฐานะนักพากย์ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2558 ที่แม้กระทั่งตัวเขาเองยังคิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กได้อีกแล้ว แต่เมื่อเริ่มรักษาตัวจนหายดี ทุกคนในวงการก็ยังต้อนรับเขาในฐานะ ‘นักพากย์’ การ์ตูนอันดับหนึ่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เราแอบสารภาพกับน้าต๋อยแบบตรงไปตรงมาก่อนเริ่มสัมภาษณ์ ว่าเสียงของเขามีอิทธิพลกับความรักที่มีต่อตัวการ์ตูนต่างๆ มาตั้งแต่วัยเด็ก และอิจฉาเขาเหลือเกิน ที่สามารถยึดมั่นในความฝันของตัวเอง และทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด
หากแต่บทเรียนที่เราได้รับจากการเคี่ยวกรำตัวเอง ผ่านอุปสรรคและความล้มเหลวมากมายตลอดระยะเวลา 40 ปี ในฐานะนักพากย์ของเขา บอกให้เรารู้ว่า สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุด ไม่ใช่ความหอมหวานจากความสำเร็จหรือชื่อเสียงเงินทอง
หากแต่เป็นทุกช่วงเวลาที่เขาได้ลงมือทำตาม ‘ความฝัน’ อย่างตั้งใจต่างหาก คือความสุขสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรได้รับจริงๆ
ณ ตอนนี้คุณจะคิดถึงอะไรบ้างเวลาได้ยินคนพูดถึงคำว่า ‘ความฝัน’ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ได้ทำสิ่งต่างๆ ตามความฝันมากมาย รวมทั้งการล้มป่วยครั้งล่าสุด
ผมคิดว่าเวลาพูดถึงความฝัน มี 2 ช่วงเวลาสำคัญที่ควรพูดถึง คือช่วงแรกที่เราเริ่มมีความฝัน กับช่วงที่สองคือการที่เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันนั้นสำเร็จ ซึ่งระหว่างทางมันอาจจะเหนื่อยยากแสนลำบาก ต้องกัดฟัน อดทน ทุกข์ทรมานเต็มไปหมด แต่ระหว่างทางที่เราได้ลงมือทำตามความฝันนั่นแหละครับ คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต
อย่างผมอาจจะโชคดีที่เริ่มเจอความฝันของตัวเองเร็ว ตั้งแต่ได้ดูการ์ตูนเรื่อง เลโอสิงห์น้อยเจ้าป่า ของญี่ปุ่น ที่ผมเข้าใจไปเองว่าน่าจะเป็นต้นแบบของเรื่อง Lion King ในเวลาต่อมา แล้วทำเริ่มติดการ์ตูนญี่ปุ่น เพราะเขาเล่าเรื่องชีวิต เล่าเรื่องความฝันได้ดี แล้วผมก็ค่อยๆ สะสมความฝันจากสิ่งที่ดูมาตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งได้ดูการ์ตูนเรื่อง หน้ากากเสือ ที่ฉายช่อง 4 บางขุนพรหม แล้วรู้สึกว่า โอ้โห ทำไมเขาพากย์เสียงตัวละครกันได้เก่งขนาดนั้น แล้วนักพากย์การ์ตูนก็กลายเป็นความฝันของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงลงมือทำตามความฝันแบบที่ผมบอก ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอยากเป็นนักพากย์แล้วเราจะฝึกการพากย์แค่นั้นแล้วจบ โลกแห่งความฝันมันไม่ได้ง่ายและสวยงามขนาดนั้นเสมอไป สิ่งที่ผมทำคือ ผมสะสมประสบการณ์ทุกขั้นตอนเกี่ยวกับการผลิต ตั้งแต่ความรู้เรื่องฟิล์ม เป็นคนเดินเทป ช่วยงานในห้องตัดต่อ ฯลฯ
จนเริ่มได้โอกาสฝึกออกเสียงให้ถูกต้องกับคุณครูคนแรกของผมคือ คุณฉลอง สิมะเสถียร นักพากย์และพระเอกของช่อง 4 บางขุนพรหม ที่เล่นเป็นชายกลางคนแรกของเมืองไทย แล้วก็ส่งให้ผมไปอ่านข่าว ไปพากย์เสียงสารคดี ที่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยใช่ตัวผมเท่าไร แต่ก็อดทนฝึกฝน สะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ
จนมีโอกาสได้พากย์หนังครั้งแรกคือ เป็นเสี่ยวเอ้อในเรื่อง ขบวนการเปาเปียว เชื่อไหม ผมตั้งใจมาก เอาหนังมาซ้อมพากย์จนฟิล์มจะขาด เพื่อพูดแค่ว่า “เชิญครับนายท่านครับ เชิญนั่งตรงนี้เลยครับ ซาลาเปาก็มีนะครับ” อีก 3 เดือนต่อมา ได้พากย์เรื่อง เปาบุ้นจิ้น ได้พูดเยอะขึ้นมาหน่อย เป็นทหารเลวโดนธนูปักเต็มอก วิ่งมาเคาะประตูบอกว่า “เปิดประตูหน่อย อะเฮอะๆๆ (ทำเสียงกระอักเลือด) ท่านครับ พวกมันบุกมาแล้วครับ” นายท่านถามมาว่า มากันเยอะไหม ตามบทต้องพูดแค่ว่า “เยอะครับ” ผมก็แอบเติมมุกไปว่า “ดูที่หน้าผมสิครับ” แค่นั้นล่ะ นักพากย์ผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยกันมองตาเขียวเลย (หัวเราะ) เพราะสิ่งสำคัญในการพากย์ยุคนั้นคือ สำเนียงต้องเป๊ะ บทต้องถูกต้อง แต่อดไม่ไหว เพราะผมเป็นคนชอบอะไรสนุกสนานแบบนี้อยู่แล้ว
ซ้อมก็หนัก แต่ได้พูดแค่ไม่กี่ประโยค แถมยังไม่สามารถใส่มุก ใส่ตัวตนสนุกสนานเข้าไปในงานพากย์ที่ตัวเองชอบได้ ถ้าคิดจากเงื่อนไขแบบนั้นในยุคนี้ หลายคนอาจตัดสินใจยุติความฝันนั้นไปแล้ว
ผมฝึกพากย์หนังจีน หนังฝรั่งแบบนั้นอยู่อีกหลายปีเลยนะครับ ถามว่ามันใช่ตัวตนของผมจริงๆ ไหม ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ บางทีก็อึดอัด เพราะเห็นบางจังหวะมันน่าใส่มุกเข้าไปมากเลย แต่ทำไม่ได้ แต่ถามว่านั่นคือความสุขไหม นั่นคือความสุขของผม เพราะผมรู้ว่าการฝึกพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญในการปูพื้นฐานเป็นนักพากย์การ์ตูนของผมในอนาคต ผมเติบโตมากับพื้นฐานเหล่านี้ ผมเคี่ยวกรำตัวเองอยู่กับการพากย์สด ออกเสียงให้ถูกต้องอย่างหนักแบบนั้นประมาณ 4-5 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2523 ถึงได้มีโอกาสพากย์การ์ตูนเรื่องแรกในชีวิตคือ ไดมอส ยอดขุนพล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่รู้ว่าจะออกเสียงอย่างไร ผมก็ใช้เสียงแบบที่พากย์หนังจีน หนังฝรั่ง เกร็งไปหมด ปรากฏว่า พากย์ไปทั้งหมด 52 ตอน เด็กไม่ติดเลย แล้วโครงการก็ล้มไป
ทีนี้ก็มีโอกาสได้พากย์การ์ตูนเรื่อง หน้ากากเสือ ตอนมีคนติดต่อมาผมขนลุกเลยนะ เหมือนสวรรค์บันดาล เพราะนี่คือความฝันในการเป็นนักพากย์การ์ตูนของเรา แถมยังได้พากย์เป็นตัวหน้ากากเสือด้วย แต่พอไปพากย์จริงๆ ก็ยังเกร็งอยู่ ผลออกมาเหมือนเดิม คือพากย์ไปสิบกว่าตอน แข็งมาก ไม่ได้เรื่อง เด็กๆ ไม่ติดเลย
ตอนพากย์เรื่อง ไดมอส ยอดขุนพล อาจจะยังไม่รู้สึกผิดหวังมากเท่าไร แต่เรื่องหน้ากากเสือที่เป็นความฝันมาตั้งแต่เด็ก แล้วพอได้ทำจริงๆ ความฝันนั้นก็เหมือนจะไม่สำเร็จ และกำลังจะพังลงไปด้วยมือของตัวเอง คุณมีวิธีรับมือกับความผิดหวังที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอย่างไร
ผมไปถามเด็กข้างบ้านเลยครับว่า พากย์ไป 10 ตอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้คือ ไม่เอาไหนเลย มันแข็ง สู้ทีมพากย์ของ ไอ้มดแดง หรือ อุลตร้าแมน ที่ฉายในช่วงนั้นเหมือนกันไม่ได้เลย โอ้โห หงุดหงิดมาก ในใจนี่ท้อแบบสุดๆ แต่ไม่ทิ้ง ไม่เป็นไร พรูฟตัวเองกลับมา อาทิตย์หน้าลองใหม่ ลองไปเรื่อยๆ คิดอย่างเดียวว่า เราจะไม่ยอมทิ้งความฝันของตัวเองเด็ดขาด ไม่มีใครหรอกที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ทุกคนต้องล้มเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญกว่าคือ ล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ผมถูกสอนมาแบบนี้ จนในที่สุดผมก็ลุกขึ้นมาได้จริงๆ จากความฟลุก จากความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ (หัวเราะ)
พากย์ไปได้ประมาณครึ่งปี ต้องบอกก่อนว่าการทำงานในยุคนั้น ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลามากๆ ต้องไปรับฟิล์มกับสคริปต์บทมาวันพฤหัสบดี แล้วส่งไปแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทย เพื่อเอาไปอัดเสียงให้ทันออกอากาศสดในวันอาทิตย์ ซึ่งส่วนมากเราก็จะได้ต้นฉบับแปลไทยมาวันอาทิตย์นั่นแหละ
ทีนี้มีอยู่วันหนึ่ง กำลังพากย์อยู่ เวลาเหลือ 15 นาที แต่บทเหลือแค่ 1 หน้า แล้วเนื้อเรื่องก็ค้างอยู่แบบนั้น มันไม่มีทางจบแบบนี้แน่ๆ แต่จะทำอย่างไรล่ะ มองหน้ากันกับทีมพากย์ด้วยกัน แล้วก็โอเค ครึ่งหลังที่เหลือก็ตัวใครตัวมัน ดำน้ำกันไปเลยนะ (หัวเราะ)
พอถึงเวลาจริงๆ ก็ดำน้ำกันแหลกเลยครับ ไม่มีใครรู้ภาษาญี่ปุ่น ก็ดูจากภาพที่ได้ยิน เสียงที่เห็น บริบทต่างๆ แล้วก็พากย์กันเดี๋ยวนั้นเลย เห็นตัวละครขยับปากตอนไหนก็ขยับตาม “เชิญครับ”, “อร่อยครับ”, “เป็นอย่างไรบ้างคะ” ก็มั่วกันไปหมด ถูกบ้างผิดบ้าง ทีนี้มันมีตอนที่ตัวละครหนึ่งเดินเข้ามา แล้วมีคำว่า ‘อะบุไน’ ผมก็คิดว่าคือชื่อตัวละคร ก็พากย์ไปทำนองว่า เป็นเพื่อนหน้ากากเสือ “เชิญครับๆ” สรุป มาถึง ไอ้นั่นกระโดดถีบเปรี้ยงเข้าให้ เอาโต๊ะฟาดตู้ม หน้ากากเสือลงไปนอนกลิ้งกับพื้น เลือดกลบปาก ก็ตกใจกันหมด แต่ก็เล่นมุกสด ด้นมั่วๆ กันไปจนจบ เพิ่งมารู้ว่า อะบุไน แปลว่า อันตราย ตอนหลัง (หัวเราะ)
พอออกจากห้องพากย์มาปุ๊บ มีเด็กโทรศัพท์เข้ามาบอกว่า ขอพูดกับคนที่พากย์เป็นหน้ากากเสือหน่อย ผมนี่มือสั่นไปหมดตอนรับโทรศัพท์ เขาบอกว่า เมื่อกี้นั่งดูกับคุณยายอยู่ ดูไม่รู้เรื่องเลย แต่ตลกดีนะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็บอกเขาไปว่า เมื่อกี้ไม่ใช่เพื่อนหน้ากากเสือ ขอโทษนะ เราพากย์ผิด ช่วยไปบอกคุณยายด้วยนะ เขาก็ตะโกนบอกยายเดี๋ยวนั้นเลย ยายก็ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ผมยังจำได้อยู่เลย
หลังจากนั้นเลยเริ่มจับทางได้ว่าคนดูเขาชอบอะไรที่ตลก ไม่ต้องเป๊ะมาก ผมก็เปลี่ยนสไตล์จากหนังจีน หนังฝรั่ง มาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเต็มตัวเลย ชื่อไหนที่ออกเสียงยากๆ พากย์แล้วสะดุด ผมเปลี่ยนหมด คุณสุกุชิเหรอ เอาใหม่เป็นคุณสัญชัย (หัวเราะ) แล้วก็มีคุณมะลิ คุณสมชาย คุณมานะ สนามบินฮาเนดะก็เปลี่ยนเป็นดอนเมือง อิเคะบุคุโระก็เปลี่ยนเป็นหนองแขม จังหวะไหนควรใส่มุก นึกอะไรออก ผมใส่หมด กลายเป็นว่าคนติดมุกแบบนั้นหมดเลย เฮ้ย เรามาถูกทางแล้ว นี่แหละคือวิธีทางในการพากย์การ์ตูนของเรา หลังจากนั้นก็เริ่มเพิ่มพวกเสียง ชะว้าบ กะต๊าบ อะจึ๋ย อะห้อย จนกลายเป็นสไตล์ที่ทุกคนรู้จักมาจนถึงตอนนี้
เหมือนคุณกำลังจะบอกว่า ความสำเร็จของชื่อ ‘น้าต๋อย เซมเบ้’ เกิดขึ้นมาจากความฟลุกและเหตุผิดพลาดในวันนั้น
ใช่ครับ แต่ความผิดพลาดเป็นแค่การเปิดให้โอกาสที่รอมาทั้งชีวิตเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ความฝันที่เรารอมาทั้งชีวิตเป็นจริง คือพื้นฐาน คือสิ่งที่ผมสะสมมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ลองคิดดูสิครับ ถ้าผมไม่ถูกฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง ถ้าผมไม่มีประสบการณ์ในการพากย์หนังแบบสดๆ ถ้าผมไม่ศึกษาพื้นฐานเรื่องการ์ตูนให้เยอะ ถ้าผมไม่สะสมมุกตลกเอาไว้ในตัว แล้วมันเกิดเหตุการณ์บทหายในวันนั้น ผมก็คงจะแก้ไขปัญหาไม่ได้แบบนี้ สไตล์การพากย์แบบนี้ก็คงไม่ถูกค้นพบ ผมต้องย้ำอยู่เสมอว่า อดทนหน่อย ใจเย็นๆ เตรียมตัวเองให้พร้อม ยึดมั่นในความฝันไว้เถอะ ถ้าไม่ทิ้งความฝันนั้นไปก่อน สักวันหนึ่งโอกาสจะเดินทางมาถึงเอง
แต่กับโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด บางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวเขาไม่ได้โชคดีแบบนั้น และชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะรอให้โอกาสที่เหมาะสมเกิดขึ้นหรือเปล่า
สำหรับคนนะครับ โดยเฉพาะวัยทำงาน ที่พอเจออุปสรรค ล้มเหลว หรือโดนตำหนิปุ๊บ แล้วจิตใจท้อแท้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ แค่คุณมีโอกาสได้ฝัน ได้มีโอกาสทำงาน นั่นคือสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว ณ วันนี้คุณยังใหม่ ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ อาจจะมีท้อได้ ไม่เป็นไร แต่ขอแค่หนึ่งวันพอ ร้องไห้ให้เต็มที่ แล้วรีบลุกขึ้นมา สาดน้ำใส่หัวใจตัวเอง กลับมาคิดใหม่ว่ามีตรงไหนที่ผิดพลาด รับรู้ แล้วฝึกฝนต่อไป
หรือบางช่วงเวลาที่ไม่มีงานทำ โอเคแหละว่ามันควรจะเศร้า แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง นั่นคือช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สำคัญเลยนะ เอาเวลาเคว้งคว้าง นั่งเหม่อ คิดว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต ไปเรียนรู้ อ่านหนังสือให้มากๆ พัฒนาตัวเองให้เยอะที่สุด เตรียมตัวเองให้เก่งพอสำหรับวันที่มีโอกาส มีงานเข้ามา
แล้วไม่ใช่แค่ฝึกในสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว ทุกอาชีพล้วนมีปัจจัยด้านอื่นๆ ประกอบกันทั้งนั้น สมมติอยากเป็นนักพากย์ ก็ไม่ใช่แค่ฝึกอารมณ์ ฝึกออกเสียงแล้วจบ แล้วการออกเสียงก็ไม่ใช่ชัดแค่ ร.เรือ หรือ ล.ลิง แต่ต้องชัดทุกตัวอักษร ไม่ว่า ส.เสือ ว.แหวน หรือแม้กระทั่ง ก.ไก่ แล้วคุณต้องฝึกไปถึงการหายใจ ฝึกอ่านหนังสือเยอะๆ วิธีการของผมคือ อ่านหนังสือธรรมะที่เป็นภาษาบาลีที่อ่านยากๆ เลยนะ แล้วฝึกอ่านตาม ฝึกออกเสียงให้ถูก ไปจนถึงต้องรู้ทฤษฎีดนตรี รู้ว่าเวลาไหนควรใช้เสียงคีย์ไหน ต้องเรียงอ็อกเทฟเสียงแบบไหนให้เหมาะสมกับตัวละคร นักพากย์ของญี่ปุ่นเขาร้องเพลงดีถึงขนาดไปรับงานโชว์ตัวร้องเพลงได้เลยนะ รู้ไปถึงจังหวะการตัดต่อ ไปดูวิธีการพากย์ของคนอื่นๆ หรือถ้าอยากเป็นผู้กำกับก็ต้องฟังเพลง ต้องอ่านหนังสือ ต้องรู้โลกกว้าง เพราะทุกอย่างมันเชื่อมโยงและสามารถนำมาพัฒนาซึ่งกันและกันได้ทั้งนั้น
และเมื่อไรที่มีงานก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ผิดพลาดก็แก้ไข ท้อแท้ก็ลุกขึ้นมาสู้ อย่าเพิ่งทิ้งความฝัน แล้วไปจับงานอื่น มันไม่มีเวลาให้ทิ้งอีกแล้ว ยิ่งตอนนี้ ถ้าคุณอยู่ในวัยทำงาน ยังมีแรง มีพลังอยู่ เมื่อจับอะไรแล้ว จับให้เต็มที่ คุณคิดว่าจะสามารถมีอายุอยู่ไปถึง 70-80 ได้ทุกคนเหรอ บางคนเกิดอุบัติเหตุ ต้องจากโลกนี้ไปตั้งอายุยังน้อยก็มีนะครับ อย่าคิดว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ ชีวิตนี้มันสั้นจริงๆ นะครับ ขนาดตัวผมเองที่เหลือเวลาอีกไม่เท่าไร ผมยังไม่ทิ้งความฝันของผมเลย
มีสักช่วงเวลาบ้างไหม ที่แม้กระทั่งคนอย่าง ‘น้าต๋อย เซมเบ้’ ก็ยังเคยสงสัยกับความฝันของตัวเองขึ้นมา
ไม่มีนะ ต่อให้ความฝันของผมจะยากเท่าไร ผมก็คิดว่ามันคือความสุขของผมเสมอ ถึงแม้ตอนนี้คนจะบอกว่า น้าต๋อย เซมเบ้ เก่งแล้ว ประสบความสำเร็จแล้วนะครับ แต่เชื่อไหม ผมยังคิดถึงตัวเองในวันที่ต๊อกต๋อย ได้ลงมือทำตามความฝันของตัวเองอยู่เลย ทุกวันนี้ผมก็ยังอยากได้ช่วงเวลาเหล่านั้นคืนมาอยู่ มันคือรางวัลชิ้นโบแดงของชีวิต เป็นความรู้สึกดีที่ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรให้ถูก เวลาทำงานสำเร็จ ได้ผลลัพธ์เป็นเงินทอง คำชื่นชม เสียงปรบมือ พวกนั้นมันอยู่กับเราแค่เดี๋ยวเดียวนะครับ คุณชื่นชมได้สักพักหนึ่ง มันก็หายไปแล้ว
ผมขอยกช่วงเวลาที่ทำหนังฉายโทรทัศน์เรื่อง Crystal Knights ที่เป็นอีกหนึ่งความฝัน หลังจากพากย์ตัวละครคนอื่นมาเยอะ แล้วอยากสร้างอะไรที่เป็นของตัวเองมาก ก็คิดใหญ่เลย อยากมีขบวนการ 5 สี ที่เป็นของคนไทย เอาเงินที่ได้จากการทำงานนั่นแหละมาลงทุนประมาณ 15 ล้าน ทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมด ไปศึกษาวิชากังฟูจากปรมาจารย์ของเส้าหลิน แล้วมาฝึกให้กับนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ทำพล็อตเรื่อง หาโลเคชัน ออกไปถ่ายทำ ใช้เวลาถ่ายทำนานมาก เหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น
แต่ระหว่างทางที่เกิดขึ้น มันมีความสุขแบบที่ถ้าเราไม่ทำงานนี้ เราจะไม่ได้รับ ผมได้เห็นทีมงานที่ร่วมกันสร้างผลงานขึ้นมา ภาพที่ผมไปเก็บได้จากการถ่ายทำสถานที่ต่างๆ ไปต่อสู้กันบนสะพานพระรามแปด, บนเรือเดินสมุทร, ไปถ่ายทำที่เคยเป็นสมรภูมิรบสมัยก่อน, ได้พาสัตว์ประหลาดไปเดินอยู่หน้า จากที่มีค้างคาว 2-3 ตัว ก็กลายเป็นแสนตัวบินออกมา ฯลฯ ปลุกปั้นอยู่นานจนกว่าจะทำเสร็จ แต่พอออกมาฉายจริงถามว่าประสบความสำเร็จด้านรายได้ไหม ก็ไม่ พูดได้ว่าขาดทุน ตอนนั้นขายโฆษณาได้นาทีละ 50,000 บาท แต่ผมลงทุนตอนหนึ่ง 500,000 บาท จะไปเอากำไรจากไหน แต่พอคิดไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เราได้ลงมือทำ นี่ต่างหากคือที่สุดของความฝัน
ตัวอย่างเพลงประกอบเรื่อง Crystal Knights
หลังจากตอนที่ป่วยหนัก หายไปจากการพากย์ อยากทราบความรู้สึกหลังได้กลับมาพากย์ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง
คิดว่าตอนนั้นไม่มีโอกาสได้กลับมาแล้ว คิดว่าตายแล้ว เพราะมันเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ช่วงวาเลนไทน์นี่แหละ 15-18 ช่วงนั้นกระดูกสันหลังเพิ่งผ่าตัด แล้วงูสวัดกำเริบ ภูมิแพ้ เสียเลือด ผอมตัวนิดเดียวจากตอนนั้น 76 แล้วผมเหลือประมาณ 57 ผอมมากเลย ออกซิเจนในร่างกายน้อยมาก อยู่ประมาณ 80 ต้นๆ น้อยมากๆ ก็รู้สึกว่าจะตาย น่าจะไม่รอด ญาติมาเยี่ยมก็มีความรู้สึกไม่ไหวแล้ว แต่พอรอดกลับมาได้ก็รู้สึกว่า เราคงจะต้องอยู่ต่อไปในวงการนี้ ยังไม่จบแค่นี้ ชีวิตยังไม่จบแค่นี้ เรายังต้องทำในสิ่งที่เรายังอยากจะทำต่อไปได้อยู่
พอจะจำความรู้สึกแรกที่ได้กลับเข้ามายืนหน้าไมโครโฟนห้องอัด ในฐานะนักพากย์ หลังจากต้องพักงาน เพราะอาการป่วยอยู่หลายปีได้ไหม
จำได้แค่ว่าก่อนหน้านั้นคิดว่าไม่มีโอกาสกลับมาแล้ว คิดไปถึงขั้นว่าต้องตายแล้วด้วยซ้ำ แต่ระหว่างนั้นก็ได้พลังจากตัวละครซุนโงกุนจากเรื่อง ดราก้อนบอล หน่อยๆ ผมคิดถึงทุกๆ ครั้งที่ไม่ว่าเขาจะบาดเจ็บใกล้ตายขนาดไหน แต่สุดท้ายเขาจะลุกกลับขึ้นมาได้เสมอ อาจจะฟังเหมือนเรื่องตลกนะ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ก็ขนาดโงกุนเขายังสู้เลย แล้วทำไมเราจะไม่สู้บ้างล่ะ แล้วปรากฏว่า เราก็กลับมาได้จริงๆ
แล้วความโชคดีก็คือ อาการผมเริ่มดีขึ้น ผมก็ได้กลับมาพากย์เสียงของเขาอีกครั้งหนึ่งในเรื่อง Dragon Ball Super: Broly แล้วรู้สึกดีมาก เพราะเขาคือคนที่ให้พลังชีวิตกับผม ผมคิดถึงเขามากจริงๆ แต่ในใจตอนนั้นก็มีความรู้สึกนะว่า เราไม่ค่อยอยากรับงานแบบนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่ามันคงเลยช่วงวัยของเราไปแล้ว
บรรยากาศในห้องพากย์ระหว่างรับบทเป็น นิกกี้ ลาร์สัน ใน City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์
แต่คุณก็ยังกลับมารับงานพากย์ต่ออีกครั้งในเรื่อง City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ ถ้าในวันนั้นตัวละครโงกุนมอบพลังให้คุณกลับมาชีวิตอีกครั้ง แล้วตัวละคร นิกกี้ ลาร์สัน ในเวอร์ชันนี้ มอบพลังในแง่ไหนให้กับคุณบ้าง
ตัวนี้ต่างจากโงกุนที่ให้ความสุข ให้ความคิดถึง เพราะสิ่งที่ผมได้รับจาก นิกกี้ ลาร์สัน คือความสนุกและความร่าเริงในการมีชีวิตต่อไป ตอนพากย์ดราก้อนบอลที่ผมคิดว่าไม่อยากรับงานพากย์แบบนี้แล้ว แต่การได้มาพากย์ City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ มันเหมือนกระชากวัยผมกลับไปตอนอายุ 30 ต้นๆ อีกครั้ง เฮ้ย จริงๆ เรายังสนุก ยังอยากมีชีวิตด้วยการเป็นนักพากย์ต่อไป ผมคิดว่านี่เป็นอีกหนึ่งปาฏิหาริย์ เป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่มีคนมอบให้ผมอีกครั้ง
แล้วมันไม่ใช่แค่ตัวละครที่ผมพากย์อย่างเดียว แต่มันสนุกในทุกๆ กระบวนการทำงาน เพราะทางสหมงคลฯ เปิดโอกาสให้ผมอิมโพรไวส์ ใส่สไตล์ของผมได้เต็มที่ รวมทั้งการได้มาพากย์ร่วมกับทีมพากย์พันธมิตร ก็นับว่าเป็นประสบการณ์การทำงานที่ดีมาก อย่างที่บอกว่า เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา และการได้ผสมผสานจังหวะและมุกตลกแบบผมที่พากย์การ์ตูนญี่ปุ่นมาตลอด มาผสมผสานกับสไตล์ของพันธมิตร ที่เขาเป็นอันดับหนึ่งด้านนี้อยู่แล้ว ก็เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญ ว่าผมยังสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้อีก
ถ้ามองในฐานะนักพากย์ คิดว่าอะไรคือความพิเศษที่สุดที่คนดูจะได้รับจาก City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ เวอร์ชันนี้
จะได้เห็นภาพของผมกับ นิกกี้ ลาร์สัน ซ้อนทับเป็นคนเดียวกัน (หัวเราะ) เพราะระหว่างที่พากย์ ผมรู้สึกว่าผมได้กลายเป็นซิตี้ฮันเตอร์แบบในเรื่องจริงๆ รู้สึกว่าเวลาเล่นมุกต่างๆ ที่ออกมาในเรื่องนี้ ผมไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าจะต้องเล่นมุกแบบไหน แต่เป็นตัวละครกับสิ่งที่เขาต้องเจอในเรื่องต่างหาก ที่กำหนดว่าผมจะต้องเล่นมุกอะไรบ้าง แล้วก็ความพิเศษ เพราะหนังจริงๆ เป็นเวอร์ชันฝรั่งเศส ตัวละครจะต้องออกแนวหล่อๆ หน่อย แต่พอเป็นผมสวมเข้าไปปั๊บ คุณจะได้เห็น นิกกี้ ลาร์สัน เวอร์ชันญี่ปุ่นทันที (หัวเราะ) ซึ่งถ้าเป็นคนดู City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ มาก่อน จะเก็ตทันทีเลย เพราะว่า ซาเอบะ เรียว ที่เป็นต้นแบบ มันมีลักษณะแบบนี้เป๊ะๆ เลย
อีกหนึ่งเรื่องคือ ความทะลึ่งครับ (หัวเราะ) แต่เป็นความทะลึ่งที่ไม่ลามกนะ ต้องบอกก่อนว่า ญี่ปุ่นเคยสร้าง City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ ฉบับคนแสดงมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร ทั้งๆ ที่เขาเป็นออริจินัลเลยนะ เหตุผลก็เพราะตัวพระเอกมันไม่ทะลึ่ง (หัวเราะ) ซึ่งต้องยอมรับว่า ความสนุกที่ทำให้ City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ ฉบับการ์ตูนประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่ความทะลึ่งของพระเอกนี่แหละ
แต่พอเป็นเวอร์ชันนี้ ทั้งๆ ที่เป็นของฝรั่งเศสนะ แต่พระเอกทะลึ่งมาก ทะลึ่งแบบต้นฉบับเลย รู้สึกอยากพากย์ตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้ว ทีนี้หน้าที่ของผมก็คือ การรักษาความทะลึ่งเอาไว้ไม่ให้เลยเส้นกลายเป็นความลามก หน้าที่ของผมก็คือ ใช้ประสบการณ์ที่ผมสะสมมาตลอดมาผสมผสานกับทีมพากย์ของพันธมิตร เพื่อสร้างความตลกที่คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถมาสนุกไปพร้อมๆ กันได้ แบบที่กำลังจะได้เห็นใน City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์ เวอร์ชันนี้
ตลอดการพูดคุยมาทั้งหมด รวมทั้งภาพลักษณ์ของ น้าต๋อย เซมเบ้ ที่แสดงออกมา ค่อนข้างชัดเจนว่าคุณเป็นคนมีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี และเต็มไปด้วยกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่เสมอ จริงๆ แล้วพอจะมีเรื่องอะไรบ้างไหม ที่พอจะทำให้คนอย่างคุณเสียน้ำตาออกมาได้
ไม่ครับ ผมถูกคุณพ่อสอนมาตั้งแต่เด็กว่า เป็นลูกผู้ชายต้องเก็บความรู้สึกให้มากที่สุด ไม่เอาความทุกข์ของเราไปเป็นภาระให้คนอื่นรับรู้ ตอนเจ็บปางตายอยู่ที่โรงพยาบาล เวลามีคนมาเยี่ยม ผมก็บอกผมไม่เจ็บ ทนได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเจ็บมาก นั่นคือพื้นฐานที่ทำให้ผมเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้เวลาเจอเรื่องอะไรก็ตาม
แต่ที่ตลกก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้ำตาตก เป็นตอนที่เจ้าโนบิ หมาของผมตาย แต่ก็อย่างที่บอกว่า ผมถูกสอนให้เก็บความรู้สึก ระบายให้ลูกให้ภรรยาฟังไม่ได้ เดี๋ยวเขารู้ว่าอ่อนแอ สิ่งที่ผมทำก็คือ โทร.ไปหาจิตแพทย์คนหนึ่งในรายการวิทยุ แล้วไประบายให้เขาฟัง แต่ไม่บอกนะว่าผมคือใคร บอกว่าผมมีปัญหาครับ หมาของผมเสียชีวิต เป็นพันธุ์ลาบราดอร์สีขาว สะอาด น่ารักมาก เขานอนกับผม ผมแปรงฟันให้เขา เวลาทำสเต๊กก็แบ่งให้ทานจนแทบจะเป็นจานเดียวกันอยู่แล้ว ผมทำใจไม่ได้ที่เขาจากไป เล่าละเอียดเป็นฉากๆ เลย หมอก็ฟังดูงงๆ ถามว่าคุยกับคนที่บ้านได้ไหม เขาปลอบโยน แบ่งเบาความรู้สึกผมได้หรือเปล่า ผมก็บอกว่าไม่ได้ เพราะผมถูกสอนมาว่าไม่ได้เอาความทุกข์ไปให้คนอื่น แต่ยินดีที่จะรับฟังความทุกข์ของคนอื่นเสมอ เพราะฉะนั้นหมอช่วยฟังความทุกข์ของผมหน่อยนะครับ (หัวเราะ)
ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง City Hunter สายลับ คาสโนเวอร์
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล