ดัชนีตลาดหุ้น Wall Street ปรับตัวในแดนลบ โดยมีแรงฉุดจากหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี บวกกับความกังวลของนักลงทุนในตลาดว่าอาจจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มความเสี่ยง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แรงเทขายหุ้น Apple และ Amazon.com ได้ส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารและผู้ผลิตพลังงาน โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลง 2.7% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์มีการขยับปรับขึ้นเล็กน้อยก่อนขยับปรับตัวลดลงในช่วงปิดตลาด
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.47% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.24% ผลจากการที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยับปรับตัวได้ดีขึ้น และทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนในตลาดยังคงจับตาความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติให้ความเห็นชอบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป
ขณะเดียวกันตลาดยังจับตาท่าทีของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่จะขึ้นพูดเกี่ยวกับนโยบายการเงินในวันที่ 4 มีนาคมนี้ โดยจะเป็นการตอบคำถามที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับทาง Wall Street มากกว่าการขึ้น กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งย้ำว่า Fed จะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำใกล้ 0% ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ปี และนักลงทุนยังเฝ้ารอผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 16-17 มีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเชื่อว่าภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้จะสามารถรีบาวด์ฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ของภาครัฐ บวกกับการกระจายตัวของวัคซีน แม้จะมีปัจจัยเรื่องการจ้างงานที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่ก็ตาม
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: