เมื่อเอ่ยถึงภาพยนตร์เรื่อง Call Me By Your Name ภาพจำที่ผุดขึ้นมาในความคิดของผู้ชมคงไม่ได้มีแค่เพียงเรื่องราวความรักระหว่าง Elio และ Oliver เท่านั้น แต่อาจรวมถึงภาพบรรยากาศหน้าร้อนที่อบอุ่น ความงามของธรรมชาติที่เมืองฝั่งเหนือของอิตาลีจากยุค 80 หรือบทเพลงประกอบ Mystery of Love จากฝีมือศิลปินสายโฟล์กอินดี้อย่าง Sufjan Stevens ที่ตรึงหัวใจผู้ฟังไว้ได้อย่างลึกซึ้ง
ทว่าเรื่องน่าเหลือเชื่อคือ กว่าที่เพลง ‘Mystery of Love’ จะกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์ แฟนๆ เกือบจะไม่ได้ฟังเพลงนี้เลย เพราะ Sufjan เคยลังเลที่จะรับงานทำเพลงประกอบหนัง แต่เขากลับเปลี่ยนใจด้วยเหตุผล ‘บางอย่าง’ และในทางกลับกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเขียนเพลงที่ทำค้างไว้สำเร็จได้ในที่สุด และการทำเพลงประกอบหนังครั้งแรกในชีวิตของเขา พาเขาไปสู่การชิงออสการ์ครั้งแรกทันที!
เนื่องในโอกาสที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะครบรอบ 8 ปี ทาง THE STANDARD POP จึงอยากจะชวนคุณออกเดินทางไปยังอิตาลีอีกครั้งเพื่อทำความรู้จักกับบทเพลง ‘Mystery of Love’ ของ Sufjan Stevens กันให้มากขึ้น หากคุณพร้อมแล้ว ก็หยิบหูฟังออกมาฟังเพลงนี้ แล้วตามมาไขปริศนาแห่งรักไปด้วยกันได้เลย
การร่วมงานกันที่เกิดจากความไว้ใจ
เบื้องหลังการทำเพลง Mystery of Love เป็นหนึ่งโมเมนต์ที่วิเศษที่สุดของการทำหนังเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้มาจากการวางแผน แต่มาจากความเชื่อใจและความรู้สึกเป็นหลัก
ผู้กำกับอย่าง Luca Guadagnino เลือกให้ Sufjan มาร้องเพลงประกอบเพราะเขามองว่า เสียงของเขาใสเหมือนกับคริสตัล เนื้อเพลงของเขามีความละเอียดอ่อน เป็นบทกวี และเปิดมุมมองได้กว้างจนทำให้ผู้ฟังตีความภาพในใจได้แตกต่างกันไป
สิ่งสำคัญก็คือเขาไม่ได้ให้ศิลปินเขียนเพลงสำหรับฉากไหนโดยเฉพาะ แต่ให้ศิลปินแต่งเพลงนี้โดยไม่ได้ดูหนัง ใช้แค่เพียงบทจากผู้กำกับ หนังสือนิยายต้นฉบับ และการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ และปล่อยให้ศิลปินสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะผู้กำกับอยากให้เพลงนี้มีบทบาทเหมือนกับผู้บรรยายจากการตีความของศิลปิน คล้ายกับให้เป็นเสียงในใจของตัวละคร Elio และเป็นเสียงของหนังเองด้วย
ถึงแม้ว่า Luca จะสนใจดนตรีและเสียงของ Sufjan แต่เดิมทีแล้วตัวศิลปินไม่เคยอยากทำเพลงประกอบหนัง เพราะเขาคิดว่า ตัวเองไม่เคยทำเพลงประกอบหนังมาก่อน และตัวเองก็ไม่น่าจะเหมาะกับเพลงที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบหนังโดยเฉพาะ แต่เขารู้ว่า Luca Guadagnino เป็นคนที่ใช้เสียงกับเพลงได้ดีเสมอ เขาก็เลยอยากจะลองทำเป็นครั้งแรก แต่เขาก็จะโฟกัสแค่กับการทำเพลงประกอบเท่านั้น ถึงแม้ว่าผู้กำกับจะอยากให้เขาลองพากย์เสียงเป็น Elio ในตอนที่โตแล้วก็ตาม
เขากล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Deadline ว่า “ผมเป็นคนข้องใจกับเรื่องเสียงดนตรีในหนังเสมอ แต่ Luca เป็นข้อยกเว้นนะ เพราะเขาเป็นผู้กำกับไม่กี่คนที่ใช้เสียงเพลงและดนตรีในแบบที่ดุเดือดและเชี่ยวชาญมากๆ แบบที่คุณจินตนาการไม่ออกเลยว่าหนังจะเป็นอย่างไรหากไม่มีเสียงดนตรี”

เพลงที่งดงามราวกับเวทมนตร์
สุดท้ายแล้ว Sufjan เขียนเพลงขึ้นมา 3 เพลง ได้แก่ Mystery of Love, Visions of Gideon และ Futile Devices เวอร์ชันเปียโน ซึ่งผู้กำกับ Luca ได้รับเพลงมาหนึ่งสัปดาห์หลังการเริ่มถ่ายทำ แต่เมื่อพวกเขาได้ฟังแล้ว ทุกคนในทีมถึงกับช็อกในความงดงามของเพลง และพอเขาเอาเพลงไปให้ 2 นักแสดงนำฟัง พวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกรายล้อมด้วยเวทมนตร์ ทั้งยังเชื่อมโยงกับเพลงได้ทันที
Luca ยังเล่าว่า เมื่อเขาได้ฟัง เขารู้ทันทีว่า Visions of Gideon จะต้องเป็นเพลงปิดเรื่อง เพราะมันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของความเศร้า และเพลง Mystery of Love ก็ควรจะใช้ในฉากที่ Elio กับ Oliver ไปปีนเขาด้วยกัน เพราะเพลงนี้สื่อถึงความรู้สึกของการค้นพบตัวเองและความหวั่นไหวของรักแรก

เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในบทเพลง
Mystery of Love เป็นเพลงอะคูสติกบัลลาดฟังได้เพลินๆ โดยศิลปินเลือกใช้เสียงดนตรีที่เรียบง่ายด้วยเสียงของกีตาร์แมนโดลินและเปียโน แต่มีเนื้อหางดงามลึกซึ้งที่ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นเสียงสะท้อนของ Elio ที่มีต่อความรักครั้งแรกกับ Oliver ซึ่งเป็นความรักที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ความอ่อนโยน ความหลงใหล ความอบอุ่นเฉกเช่นกับแสงแดดอ่อนๆ ในฤดูร้อนของอิตาลี ก่อนที่รักนั้นจะสลายหายไปด้วยความเจ็บปวดของการจากลาในตอนจบ
ถ้าหากเราอ่านเนื้อเพลงจะพบว่า Sufjan ซ่อนสัญญะของความเป็นอิสระไว้กับคำว่า ‘นก’ เพื่อสื่อว่ารักนั้นเปี่ยมไปด้วยอิสระและความไร้ขอบเขต และยังเขียนถึงคำว่า ‘รัก’ ในแง่ของสิ่งชั่วคราวแต่เป็นนิรันดร์ในความทรงจำ เพราะแม้มันจะไม่อยู่กับเราอีกแล้ว แต่เราจะไม่มีวันลืมมัน
และเขาก็ตีความคำว่า รัก ให้เป็นปริศนาเร้นลับดังคำว่า ‘Mystery’ ที่เราไม่สามารถอธิบายรักได้ด้วยเหตุผล เพราะมันเกิดขึ้น เป็นสิ่งสวยงาม แล้วก็หายไป เหมือนกับของขวัญที่ได้รับมาจากธรรมชาติหรือพระเจ้า และเราก็ไม่มีวันเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ เพราะความรักยังคงเป็นเรื่องน่าฉงนที่ต้องใช้หัวใจเท่านั้นในการสัมผัส

ภาพยนตร์ที่สานต่อเพลงให้สมบูรณ์
ภาพยนตร์เรื่อง Call Me By Your Name เป็น ‘กุญแจสำคัญ’ ที่ทำให้ Sufjan Stevens สร้างสรรค์บทเพลงนี้สำเร็จ เพราะอันที่จริงเขาเขียนโครงเพลงนี้ไว้ก่อนแล้ว แต่เพลงก็ไม่สำเร็จเสียที จนกระทั่งเขามาทำเพลงประกอบหนัง เพลงที่ถูกทำค้างไว้นี้ก็ถูกนำมาปัดฝุ่นและกลายเป็นเพลงที่ผู้คนหลงรักจนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ เขามีความตั้งใจจะให้ Mystery of Love เป็นเพลงที่อยู่อัลบั้มส่วนตัวอย่าง Carrie & Lowell ผลงานที่พาผู้ฟังไปสำรวจความโศกเศร้าจากการสูญเสียแม่ (Carrie) ด้วยเหตุนี้ เพลงจึงเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์และความเจ็บปวดเดียวกับที่เขาต้องเผชิญในขณะออกทัวร์อัลบั้มดังกล่าว
อาจกล่าวได้ว่า แม้เพลงจะถูกใช้สื่อถึง ‘รักแรก’ ที่มีความเป็นสากลและใครๆ ก็เข้าใจได้ แต่แก่นสารของเพลงก็ยังซ้อนทับกับธีมหลักของอัลบั้ม Carrie & Lowell ที่เล่าถึงการสูญเสีย ความเศร้าโศก การจมดิ่งลงในน้ำ และการโหยหาอิสระ และเขายังอ้างอิงเนื้อเพลงเกี่ยวกับความผูกพันส่วนตัวด้วยการกล่าวถึง ‘แม่น้ำ Rogue’ ซึ่งเป็นสถานที่ในรัฐออริกอนที่แม่ของเขาใช้ชีวิตและเสียชีวิต แทนที่จะอ้างอิงถึงทิวทัศน์ของอิตาลีตอนเหนือตามฉากในภาพยนตร์
“เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมทำเพลงนี้ไม่เสร็จสักที ทั้งการเขียนเนื้อและแต่งเพลง จนมาทำโปรเจกต์หนังเรื่องนี้ ก็เพราะมันเป็นเรื่องของคำว่า ‘รักครั้งแรก’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยเจอ และยังเป็นเรื่องของการตระหนักรู้ถึงสัจธรรมของธรรมชาติว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ซึ่งนั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าทึ่งมาก เพราะมันทำให้ผู้คนดำดิ่งไปกับประสบการณ์ที่สวยงามและแสนสั้น เป็นประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว คำว่า ‘รักครั้งแรก’ ก็เป็นแบบนั้น มันไม่มีอะไรจะเทียบเท่ากับคำนี้ได้เลย” Sufjan กล่าวในบทสัมภาษณ์ของ Los Angeles Times

ศิลปินผู้ให้ความสำคัญกับงานศิลป์มากกว่าพิธีการสำคัญ
ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ แต่ Mystery of Love เป็นเพลงที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับเส้นทางอาชีพของ Sufjan Stevens ด้วยการพาเขาเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และทำให้เขาได้มีโอกาสแสดงบนเวทีอันทรงเกียรตินั้น รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงบนเวที GRAMMYs ด้วย
อย่างไรก็ตาม เพลงนี้อาจกลายเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก ทว่าเรื่องที่น่าแปลกใจคือ Sufjan Stevens ยอมรับว่าเขาไม่เคยดูงานประกาศรางวัลออสการ์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ผมต้องไปเช่าทักซิโด้แล้วล่ะ และผมมีความลับจะบอกนะ คือผมไม่เคยดูออสการ์เลย แต่ผมก็ภูมิใจกับหนังมาก และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมทำงานกับผู้กำกับที่เก่งและเฉียบแหลมเช่นนี้” เขากล่าวกับ Vanity Fair ถึงความรู้สึกที่จะได้แสดงในงานประกาศรางวัลออสการ์
เกร็ดน่ารู้อีกหนึ่งเรื่องคือ ถึงเพลงนี้ไม่ได้คว้ารางวัลออสการ์หรือ GRAMMY แต่เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในปีนั้น โดยเฉพาะหลังช่วงการแสดงที่งานประกาศรางวัลออสการ์ที่เพลงมียอดสตรีมเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า (เพิ่มขึ้นกว่า 80,000 ครั้ง และทำยอดรวมเป็น 129,000 ครั้ง) และในบรรดาเพลงที่เข้าชิงทั้งหมด 5 เพลง Mystery of Love เป็นเพลงที่มียอดสตรีมรายวันเพิ่มขึ้นสูงสุด

สะพานที่เชื่อมโลกส่วนตัวของศิลปินกับหัวใจผู้ฟังทั่วโลก
Mystery of Love เป็นเพลงที่เล่ามาจากเรื่องราวส่วนตัวของศิลปินสายอินดี้อย่าง Sufjan Stevens แต่เพลงของเขากลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและทัชใจผู้ฟังทั่วโลกจากเสียงดนตรีและเนื้อหาที่พูดถึงความรักซึ่งเป็นสิ่งสากลที่ใครๆ ก็เข้าใจได้
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นศิลปินที่ร้อยเรียงดนตรีได้อย่างลึกซึ้งและมีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นศิลปินนอกกระแสที่สามารถเติบโตได้อย่างดีจนสามารถเข้าไปร่วมพิชิตรางวัลใหญ่ระดับโลกได้เหมือนกับศิลปินเบอร์ใหญ่คนอื่นๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงถือได้ว่าการตัดสินใจแต่งเพลงประกอบหนังครั้งแรกของ Sufjan Stevens ไม่เพียงสร้างอิมแพ็กต์ให้กับโลกดนตรีและภาพยนตร์เท่านั้น แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่ากับตัวเขาในฐานะศิลปิน และไม่ว่าเราจะเปิดฟัง Mystery of Love เมื่อใด เพลงนี้ก็จะพาเราย้อนกลับไปยังฤดูร้อนในอิตาลีเมื่อปี 1983 ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของความรักระหว่าง Elio กับ Oliver และเพลงนี้ก็จะเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมให้เราได้สัมผัสความรู้สึกของ ‘รักครั้งแรก’ ตลอดไป
ภาพ: Sony Pictures Classics
อ้างอิง:
- https://deadline.com/2017/12/call-me-by-your-name-sufjan-stevens-luca-guadagnino-music-interview-1202225747/
- https://www.billboard.com/music/music-news/sufjan-stevens-call-me-by-your-name-music-luca-guadagnino-interview-8093818/
- https://www.latimes.com/entertainment/envelope/la-en-mn-sufjan-stevens-20180219-story.html#:~:text=%E2%80%9CI%20wanted%20the%20songs%20to,It’s%20unparalleled.%E2%80%9D


