สถานการณ์ภายในเมียนมายังคงคลุมเครือ หลังเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของกองทัพผ่านพ้นไปแล้วเกิน 24 ชั่วโมง
โดยบรรยากาศในอดีตเมืองหลวงอย่างนครย่างกุ้ง เต็มไปด้วยความเงียบสงัด หมอกควันแห่งความหวาดกลัว และไม่มั่นใจต่ออนาคตของประชาชนปรากฏขึ้น หลังกองทัพนำกำลังบุกควบคุมตัวออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD พร้อมด้วยผู้นำคนสำคัญทางการเมือง และนักเคลื่อนไหวอีกหลายสิบคน
การรัฐประหารรอบนี้ แม้จะไร้เสียงกระสุนปืนและปราศจากการนองเลือด ทว่าภาพความกลัวในยุคการปกครองของรัฐบาลทหาร กลับผุดขึ้นในใจชาวเมียนมาอีกรอบ หลายคนหวาดหวั่นต่อสิ่งที่จะตามมา หลังไร้วีรสตรีและสัญลักษณ์แห่งความหวังอย่าง ‘ซูจี’
- เดินหน้ากวาดล้างกลุ่มปรปักษ์?
หนึ่งในความหวาดกลัวแรกที่เกิดขึ้น คือการขยายอำนาจของกองทัพเมียนมาหลังจากนี้ และการเดินหน้ากวาดล้างนักการเมือง และผู้ที่แสดงตัวเป็นปรปักษ์ และวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ
นักข่าวคนหนึ่งในย่างกุ้งเผยว่า เขากังวลว่าสื่อที่วิจารณ์กองทัพจะตกเป็นเป้าหมายจนนอนไม่หลับ โดยกลัวว่าจะมีทหารมาเคาะประตู
เช่นเดียวกับประชาชนในหลายเมือง ที่บอกกับสื่อต่างชาติว่า พวกเขาเป็นกังวลเรื่องอนาคต และการหาเลี้ยงชีพหลังจากนี้ ภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วยังคงไม่จางหาย กลับเจอรัฐประหาร ซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง
ในกรุงเนปิดอว์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ แม้ธุรกิจส่วนใหญ่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่การควบคุมความมั่นคงทั่วเมืองเป็นไปอย่างเข้มข้น สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังถูกปิดกั้น รถถังและรถหุ้มเกราะประจำการหน้ารัฐสภา ขณะที่ทหารจำนวนมาก ตรึงกำลังหน้าอาคารที่ทำการรัฐบาล และบ้านพักทางการที่คาดว่าใช้กักตัวนักการเมืองบางคน
- รัฐบาลเฉพาะกาลใต้อำนาจผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ภายหลังยึดอำนาจ กองทัพเมียนมาภายใต้การนำของ พลเอก อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ถ่ายอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการมาสู่มือกองทัพ พร้อมตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล โดยสั่งปลดรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วย 24 คนออกจากตำแหน่ง แต่งตั้งเหล่านายทหารระดับสูงเข้าทำงานแทนที่ 11 คน และตั้งรองประธานาธิบดี มิน ส่วย ขึ้นรักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว พร้อมประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี
ในแถลงการณ์ที่ออกโดยกองทัพหลังยึดอำนาจให้คำมั่นว่ากองทัพจะจัดการเลือกตั้งหลังสิ้นสุดภาวะฉุกเฉิน โดยได้เปลี่ยนคณะกรรมการการเลือกตั้งยกชุด และดำเนินการสืบสวนกรณีการโกงเลือกตั้ง หลังกองทัพอ้างว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีการทุจริตอย่างแพร่หลายจนนำไปสู่การตัดสินใจยึดอำนาจของกองทัพ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ
“จะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่เสรีและเป็นธรรมหลังจากนั้น ความรับผิดชอบของรัฐจะถูกส่งต่อไปยังพรรคที่ชนะ ตามหลักการและมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตย” พลเอก อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าว
และเพื่อให้เกิดความชอบธรรม กองทัพอ้างรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า ในช่วงภาวะฉุกเฉิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีสิทธิ์เข้าครอบครอง และใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ
ด้านพรรค NLD ออกแถลงการณ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เรียกร้องให้กองทัพเมียนมา ปล่อยตัวซูจี และนักการเมืองที่ถูกจับโดยทันที พร้อมทั้งอนุญาตให้มีการเปิดประชุมสภาเพื่อเดินหน้าบริหารประเทศตามครรลองประชาธิปไตย พร้อมประณามการก่อรัฐประหารว่า เป็นการฉุดรั้งประเทศให้ถอยหลัง และเรียกร้องให้เคารพผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่พรรค NLD เป็นฝ่ายชนะอย่างถล่มทลาย
ขณะที่ชะตากรรมของซูจีและนักการเมืองที่ถูกควบคุมตัวนั้น จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าถูกคุมขังอยู่ที่ไหน สื่อหลายสำนักคาดการณ์ว่า พวกเขาอาจถูกกักตัวในที่พักที่กรุงเนปิดอว์ เพราะซูจีและบรรดา ส.ส. ต้องเข้าร่วมการเปิดประชุมสภาวันแรกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์
- แรงกดดันจากนานาชาติ และโอกาสที่เมียนมาจะถูกคว่ำบาตร
นานาชาติต่างแสดงความกังวลไปจนถึงส่งสัญญาณต่อต้านกรณีรัฐประหารที่เกิดขึ้นในเมียนมา หลายประเทศและองค์การระหว่างประเทศเรียกร้องให้เมียนมาปล่อยตัวซูจี และผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด รวมทั้งให้คืนประชาธิปไตยแก่ประชาชน โดยหลังจากนี้กระแสกดดันจะถาโถมใส่เมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีกำหนดจัดการประชุมฉุกเฉินเรื่องสถานการณ์ในเมียนมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ หลังอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวประณามการก่อรัฐประหารที่เกิดขึ้นว่า เป็นการสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปฏิรูปประชาธิปไตยในเมียนมา
ขณะที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ ประณามการกระทำของกองทัพเมียนมาว่า ทำให้กระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยที่ดำเนินมากว่าทศวรรษต้องถอยหลัง และขู่จะกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตร ตอบโต้การรัฐประหาร
ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวจากภาคธุรกิจที่ลงทุนในเมียนมาก็ถูกจับตาเช่นกัน โดย บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ ของญี่ปุ่น ได้ประกาศระงับการผลิตในโรงงาน 2 แห่งที่ตั้งอยู่ในเมียนมา โดยให้เหตุผลเพื่อความปลอดภัยของคนงานกว่า 400 คน หลังเกิดความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังการรัฐประหาร โดยจะดำเนินการผลิตต่อหลังได้รับการยืนยันในความปลอดภัย
นอกจากการระงับผลิตชั่วคราวในโรงงานของบริษัทบางรายแล้ว เหตุการณ์รัฐประหารที่สร้างความไม่แน่นอน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าเมียนมาด้วย จึงน่าจับตาว่าวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น จะซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่บอบช้ำอยู่แล้วจากวิกฤตโควิด-19 มากเพียงใด ขณะที่นานาชาติยังจับตาปัญหาสิทธิมนุษยชนที่อาจเลวร้ายลง โดยเฉพาะสวัสดิภาพของชนกลุ่มน้อย เช่น โรฮีนจา ที่ก่อนหน้านี้ถูกกองทัพกวาดล้างอย่างหนัก
ภาพ: Vadim Savitsky / TASS / Dan Himbrechts / Getty Images)
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: