×

My Baby (Got Nothing At All) เพลงประกอบจาก Materialists ที่พิสูจน์ว่า ‘รักแท้(ไม่)แพ้เงินตรา’

20.09.2025
  • LOADING...
My Baby Got Nothing At All

หมายเหตุ: บทความนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากภาพยนตร์เรื่อง Materialists

 

“เสียงเป็นเครื่องมือการเล่าเรื่องที่ทรงพลังที่สุด และอาจกล่าวได้ว่าทรงพลังยิ่งกว่าภาพเสียอีก” นั่นเป็นสิ่งที่ผู้กำกับ Celine Song ให้สัมภาษณ์กับ Spotify เกี่ยวกับแรงบันดาลใจเบื้องหลังการทำซาวด์แทร็กในภาพยนตร์เรื่อง Materialists 

 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่เรารู้สึกอิ่มเอมหัวใจตลอดทั้งเรื่องจากการรับชม เพราะซาวด์แทร็กแต่ละเพลงถักทอความจริงใจและความรักลงในทุกโน้ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะ My Baby (Got Nothing At All) ของวง Japanese Breakfast ซึ่งหลายคนอาจเคยได้ยินจากทีเซอร์ช่วงแรกๆ และหลังจากชมหนัง หลายคนก็น่าจะหลงรักเพลงนี้ เพราะมันเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของหนังได้อย่างถ่องแท้

 

ในโอกาสนี้ THE STANDARD POP จึงอยากชวนคุณไปดูเบื้องหลังการทำเพลงประกอบเพลงนี้กันอย่างเจาะลึก พร้อมกับค้นหาไปด้วยกันว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ Michelle Zauner แห่งวง Japanese Breakfast สร้างสรรค์เพลงออกมาได้กินใจ และแรงบันดาลใจของเพลงนี้คืออะไรบ้าง

 

 

การร่วมงานกันระหว่าง Celine Song กับ Japanese Breakfast

 

Celine Song มองว่าดนตรีเป็น DNA สำคัญของภาพยนตร์ และเพลงเป็นสิ่งมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ตอนที่เธอเขียนบท เธอฟังเพลง Andalucia ของ John Cale ซ้ำไปซ้ำมาในระหว่างเขียนบท ทั้งยังร่วมงานกับผู้ควบคุมเรื่องดนตรีประกอบอย่าง Meg Currier ตลอดจนการสร้างเพลย์ลิสต์เพลงสำหรับตัวละครแล้วแชร์ให้กับทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พวกเขามีแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องราวเบื้องหลังตัวละคร รวมทั้งสร้างตัวละครให้มีชีวิตขึ้นมา

 

และการร่วมงานกับนักร้องนำของวง Japanese Breakfast อย่าง Michelle Zauner นับเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มาก เพราะศิลปินหญิงคนนี้เข้าใจในสิ่งที่หนังอยากจะสื่ออย่างถ่องแท้ และเพลง My Baby (Got Nothing At All) เป็นเพลงที่ไพเราะและยังเข้ากันกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยเช่นกัน

 

 

เรื่องราวของเพลงที่มาจากประสบการณ์จริง

 

My Baby (Got Nothing At All) เป็นเพลงที่พูดถึงประเด็นถกเถียงเรื่องการคบหากับผู้ชายที่ไม่มีเงินและเปรียบเทียบกับรักอีกคนที่ร่ำรวยมากกว่า ซึ่งนักร้องนำของวง Michelle Zauner รับหน้าที่เป็นคนร้อง คนแต่งดนตรี เขียนเนื้อเพลง และโปรดิวซ์ร่วมกับเพื่อนในวงอย่าง Craig Hendrix 

 

ทั้งสองคนอยากให้เพลงนี้สะท้อนภาพความรักที่อยู่เหนืออุปสรรคทางฐานะและการมองข้ามวัตถุเงินตราแล้วเลือกความรัก โดยเราจะเห็นได้จากเนื้อเพลงที่ร้องว่า “Only company baby’s got is mine, And that’s sure something” (สิ่งเดียวที่สุดที่รักมีก็คือฉัน และนั่นก็มีค่ามากพอแล้ว) 

 

เพลงนี้ยังมาพร้อมดนตรี Alt-Country ที่มีกลิ่นอายอินดี้ป๊อป ซึ่งแตกต่างจากเพลงของวง Japanese Breakfast ที่จะมีความอินดี้ร็อกมากกว่า โดยเพลงนี้จะเน้นเสียงกีตาร์เรียบง่าย เสียงก้องกังวานจากกลองชุด ผสมผสานจังหวะจากแทมบูรีน ซึ่งองค์ประกอบทางเสียงดนตรีเล็กๆ เหล่านี้สามารถให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายใจให้กับผู้ฟัง เหมาะกับการเป็นเพลงจากหนังรักที่ฟังซ้ำได้เรื่อยๆ 

 

 

Michelle กล่าวในวิดีโอเบื้องหลังการทำเพลงประกอบหนังว่า “ฉันรู้ว่า Celine อยากได้เพลงรักจริงๆ เราก็เลยอยากทำเพลงที่ชุบชูใจคนฟังและยังโรแมนติกด้วย” ในขณะที่ Craig เสริมว่า อยากให้เนื้อเพลงนี้เป็นเรื่องรักหวานแหวว แต่ก็สามารถฟังได้เพลินๆ เช่นกัน

 

เธอไม่ได้ทำเพลงนี้แบบเจาะจงมุมมองของตัวละครใดเป็นพิเศษ แต่แค่อยากเขียนเรื่องผู้หญิงที่รักใครสักคนหมดหัวใจ โดยที่ไม่มีเรื่องทรัพย์สินเงินทองมาเกี่ยวข้อง 

 

“ในฐานะคนที่รักคนที่ไม่มีเงินมาก่อน ฉันอินกับธีมเพลงนี้ได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะฉากที่ John อยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ กับเพื่อนที่ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงไปหมด พอเห็นแล้วฉันก็นึกถึงตัวเองตอนที่เจอสามีในช่วงวัย 20 ต้นๆ ที่ชีวิตเป็นแบบนั้น ความรู้สึกที่เหมือนจะไม่มีอนาคต แต่ก็แค่รักใครสักคน”

 

 

พลังเสียงดนตรีที่เพิ่มความหมายสุดกินใจให้กับเพลงรัก

 

มากไปกว่าธีมและเรื่องราวของเพลง อีกหนึ่งสิ่งที่โปรดิวเซอร์ทั้งสองให้ความสำคัญก็คือการทำให้เพลงนี้มีความคลาสสิกเหนือกาลเวลาและกินใจผู้ฟัง เพราะบางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำประโยคหรือวลีอันแสนจำเจ มาเปลี่ยนให้กลายเป็นเพลงรักที่ใครๆ ก็อินไปด้วยได้

 

ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาอยากจะแสดงให้เห็นก็คือ ดนตรีมีพลังมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนคำพูดธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเข้าถึงได้ทุกคน 

 

“เมื่อฉันคิดถึงเพลงรักอันยอดเยี่ยม ฉันจะนึกถึงเพลงฮิตของ Motown และอะไรที่ให้ความรู้สึกเรียบง่ายอย่างท่อนเพลงที่ว่า God only knows what I’d be without you หรือ I can’t help falling in love with you ความรู้สึกอะไรแบบนี้ที่ดูเข้าถึงง่ายและกินใจมาก” 

 

Motown คือค่ายเพลงในตำนานของอเมริกาที่ทำเพลงรักฮิตๆ และสร้างศิลปินระดับโลกมากมาย เช่น Stevie Wonder, Marvin Gaye หรือ The Jackson 5 ดังนั้นสิ่งที่ Michelle หมายถึงก็คือการอธิบายว่าเพลงรักที่ยิ่งใหญ่ไม่ต้องใช้คำซับซ้อน แต่ทำให้คนเข้าใจง่าย และเมื่อใส่ดนตรีเข้าไปก็จะทำให้เพลงสมบูรณ์มากขึ้น

 

“บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะหาประโยคหรืออะไรที่ธรรมดาและจำเจในเรื่องความรักมาทำให้เป็นอะไรสักอย่าง แล้วทำให้มันทรงพลังขึ้นได้ด้วยเสียงดนตรี อย่างคำว่า I can’t help falling in love with you ก็เป็นคำที่พูดออกมาแล้วดูน่ารัก แต่ถ้าเอามันไปใส่ในดนตรี มันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลเลย ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีดนตรี” นั่นคือสิ่งที่ Craig พูดถึงอิทธิพลของเสียงเพลงในภาพยนตร์

 

My Baby Got Nothing At All

 

ภาพสะท้อนของความรักที่ไร้เงื่อนไขของเงินตรา

 

เพลง My Baby (Got Nothing At All) ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงซาวด์แทร็กที่สะท้อนถึงความทุ่มเทของศิลปินทั้งสองคน พวกเขาตั้งใจถ่ายทอดใจความของภาพยนตร์ออกมาอย่างลึกซึ้งและจริงใจที่สุด ขณะเดียวกันผู้ฟังก็ยังได้สัมผัสกับบทเพลงที่ฟังได้ไม่รู้เบื่อด้วยเช่นกัน

 

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าผู้ชมจะถูกใจหรือไม่ถูกใจกับทางเลือกในตอนจบของนางเอกอย่าง Lucy แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเพลง My Baby (Got Nothing At All) จากวง Japanese Breakfast คือกระจกสะท้อนภาพความรักอันบริสุทธิ์และไร้เงื่อนไขของเงินตราในแบบที่ Lucy ตัดสินใจเลือก

 

และยังชวนย้อนให้เรากลับไปนึกถึงภาพของฉากแรกและฉากสุดท้ายของหนังที่ผู้กำกับทำให้ผู้ชมเห็นว่า ความรักของมนุษย์ยุคหินก็ไม่ได้มีเรื่องทรัพย์สินเงินทองอื่นใดมาเกี่ยวข้อง เพราะมันเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณของหัวใจ และความรักก็ยังคงเป็นของฟรี ที่ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในฐานะใด เราก็ยังถือครองรักนั้นได้อย่างเสรี

 

ภาพ: A24

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising