หลังจากทุกคนฮือฮากับใบหน้าภายใต้หน้ากากอีกาดำ จากรายการ The Mask Singer ซีซัน 1 ภาพลักษณ์ของ เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์ เปลี่ยนไปจากหนุ่มหวานโรแมนติก กลายเป็นหนุ่มร็อกที่ต้องใช้เสียงว้ากทุกครั้งเพื่อเปิดคอนเสิร์ต สำหรับคนภายนอก นี่อาจเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับตัวเขาเอง จังหวะร็อกแบบนี้ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอดระยะเวลา 10 ปีในวงการเพลง
เขาค่อยๆ ปรับตัว เลียนแบบ สะสมผลงานและตัวตนอยู่เงียบๆ อย่างไม่เคยปริปากบ่น จนในที่สุดภาพหน้ากากอีกาดำบนเวทีก็ได้ต่อยอดให้ผู้ใหญ่หลายคนมองเห็น และมอบโอกาสที่เฝ้ารอมาตลอดกับเพลง ‘ปาใส่หน้า’ เพลงที่ร็อกที่สุดในรอบหลายปีที่ทำให้เราได้กลับมาร้องเพลงที่รักอย่างเต็มปากเต็มคำอีกครั้ง
พูดได้ไหมว่า เพลง ปาใส่หน้า ที่เป็นเพลงร็อกอย่างนี้ เป็นเพราะอิทธิพลที่ได้มาจากอีกาดำ
เต็มๆ เลยครับ เพราะว่าทุกคนเปิดใจแล้ว เขาชอบที่อีกาดำเป็นร็อก พอรู้ว่าผมเป็นอีกาดำ เขาก็ยอมรับในความร็อกตรงนั้นด้วย ก่อนหน้านั้นร็อกคือตัวตนของผมมาตลอด ตั้งแต่ร้องเพลงในผับ เป็นศิลปินของของค่าย RS ค่าย UpG ซึ่งไม่รอดเลยสักอัน แต่อีกาดำมาเปิดใจคนฟัง อย่างน้อยก็ทำให้เอ๊ะรอดแล้วในเรื่องภาพลักษณ์ ส่วนเพลงจะรอดหรือเปล่า ก็คงต้องใช้เวลาพิสูจน์กันต่อไป
น้อยใจไหมที่ตัวตนของตัวเองทำให้คนยอมรับไม่ได้ ต้องให้อีกาดำมาช่วยทำให้คนยอมรับ
มีเล็กๆ นะ แต่ด้วยตัวเราเองตอนนั้น ยืนตัวเตี้ยๆ หน้าใสๆ ลองนึกสภาพตามนะ มึงจะร็อกยัวไงไหววะ ทำยังไงคนเขาก็ไม่เชื่อหรอก ยังดีที่ยอมรับสภาพตัวเองได้ มันเลยไม่เครียดเท่าไร ถ้าเป็นไปได้ยังอยากให้คนยอมรับในตัว เอ๊ะ จิรากร จริงๆ อยู่ แต่ในเมื่ออีกาดำเขามาช่วยให้เป็นแบบนี้ เราก็ควรดีใจและทำผลงานให้ดีมากกว่าจะมาตัดพ้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
รู้สึกอย่างไรบ้าง เวลาร้องเพลงอยู่ใต้หน้ากากอีกาดำ
โคตรมีความสุขเลย ผมได้ร้องเพลงแบบที่เป็นตัวเองแล้ว ไม่ใช่แค่มีความสุข แต่มันทำให้ผมรู้สึกมีไฟอยู่ ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ตอนวัยรุ่น ที่อยากร้องเพลงแบบไหนก็ร้อง อยากทำเสียงแตกแบบไหนก็ทำ ภายในหน้ากากทำให้ความสนุกในการร้องเพลงร็อกนั้นกลับมา
แล้วมันไม่ใช่สนุกแค่อยู่ในหน้ากาก พอถอดหน้ากากออกมา ผมได้ไปร้องเพลง กลายเป็นเอ๊ะเวอร์ชันใหม่ที่กดดิสทอร์ชัน (เอฟเฟกต์เสียงแตก) ตั้งแต่หัวเพลง ขึ้นโชว์ที่ไหนจากใสๆ คราวนี้ว้ากขึ้นไปก่อนเลย (หัวเราะ) ในความเป็นจริงไม่ควรทำแบบนี้ แต่ผมก็ทำ จนสรุปเส้นเสียงพัง ต้องงดรับงานสามวันเต็มๆ ผมต้องไปปรึกษา สงกรานต์ รังสรรค์ (The Voice Thailand) ว่าเขาทำอย่างไรให้ร้องเสียงแตกแบบคอไม่พัง แล้วผมก็ไปเลียนแบบเขา หาช่องเสียงการว้ากที่ไม่ทำให้คอพัง อย่างก่อนหน้านี้ การร้องเสียงสูงๆ ของผมก็ได้มาจากการเลียนแบบพี่โจ้ วง Pause กับอีกหลายๆ คน ผมใช้วิธีในการเรียนรู้แบบนี้มาตลอด
จำได้ว่าวง Pause เคยชวนให้คุณไปเป็นนักร้องนำแบบจริงๆ จังๆ ด้วย
มีช่วงที่เราออกทัวร์ด้วยกัน ก็เคยมีคุยกันบ้างแต่ไม่ได้จริงจังหรอก สำหรับผมคิดว่ามันเป็นภาพเอ๊ะไปแล้วอ่ะ ผมมีเพลงของตัวเองแล้ว ผมก็จะเกรงใจพี่ๆ วง Pause เพราะบางทีไปทัวร์ด้วยกัน ผมต้องบอกพวกเขาเลยว่าผมจะไม่เล่นเพลงเอ๊ะเลยแม้แต่เพลงเดียว เพราะสถานการณ์ที่เจอบ่อยมากคือ มีคนตะโกนขึ้นมาขอเพลง จากนี้ไปจนนิรันดร์ โห ตอนพี่เขาออกอัลบั้ม ผมยังเป็นวุ้นอยู่เลย แล้วอยู่ดีๆ มีคนตะโกนขอเพลงเด็กที่ไหนไม่รู้ขึ้นมา ไม่รู้พี่ๆ เขาคิดยังไงนะ แต่ถ้าเป็นผม คงจะอยากถีบไอ้นักร้องนำนี่ลงไปเลย มันควรให้เกียรติพี่ๆ ที่อยู่ข้างหลังมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะไม่ให้เกิดปัญหามากที่สุดคือหาคนใหม่ที่ born to be มาเพื่อจะเป็นตรงนี้แบบจริงๆ ไปเลยดีกว่า
นักร้องหลายๆ คนอาจจะคิดว่าต้องหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ แต่ทำไมคุณกลับเลือกที่จะฝึกจากการเลียนแบบคนอื่นเพื่อให้ร้องได้หลายๆ เสียง
มันเป็นการถนอมเสียงตัวเอง ผมชอบฟังคนที่ร้องเพลงแล้วรู้สึกว่าทำไมไหลลื่นดีจัง คุมเสียง คุมการหายใจ คุมเวทีได้หมด เหมือนพี่โต Silly Fools เวลาร้องทีรู้สึกว่ามีพลังมาก แต่เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆ
ผมสนุกที่ได้หาช่องเสียงในการร้องเพลงทุกเพลงให้ได้แบบนั้น เพราะแต่ละคนจะมีช่องที่ใช้เปล่งเสียงแล้วสบายต่างกัน ถ้าเราเข้าใจเรื่องพวกนั้นทั้งหมด มันจะทำให้เราร้องเพลงอะไรก็ได้ เพราะถ้าเราเรียกตัวเองว่าเป็นนักร้อง หน้าที่ของเราคือร้องเพลงไง
เคยรู้สึกเสียดายบ้างไหมกับ ช่วงที่ต้องร้องเพลงป๊อป โรแมนติก ที่ไกลจากตัวคุณมากๆ
ไม่เลย ผมว่าดีแล้วด้วยซ้ำ มันเหมือนการไล่อารมณ์เพลง ผมไม่เคยฝืนใจที่ต้องเพลงป๊อปนะ ผมชอบร้องเพลงทั้งหมดแหละ และคิดว่าถ้าไม่มีเพลงรักพวกนั้นมาก่อน เวลาคนเห็นผมร้องเพลงร็อกก็คงไม่ฮือฮากันขนาดนี้
ผมว่าทุกอย่างมันเป็นช่วงลำดับเวลาที่พอดีของมัน แล้วการที่ผมมีเพลงทุกแนวก็ทำให้ผมไปร้องเพลงได้ทุกที่ ทุกงาน จะไปงานกาชาด ในผับ งานแต่ง งานสังคมหรูๆ ผมก็ไปได้หมด
เช่นเดียวกับหน้ากากอีกาดำ ที่ต่อให้เขามาก่อนหน้านี้ผมว่าก็ไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้หรอก ทุกอย่างต้องมีการสะสม อย่างผมเองอยู่ในวงการมานานนะ ผ่านการขึ้นลงมาเยอะมาก เคยต่ำสุด ออกเพลงแล้วเจ๊ง ไปจนออกเพลงรักแล้วดังมาก มีงานแทบทุกวัน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ซาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คิดว่าอาจจะต้องไปทำอย่างอื่น จนตอนนั้นแหละคือเวลาที่เหมาะสมที่หน้ากากอีดำต้องปรากฏตัว
แล้วถ้าอีกาดำมาหลังจากนั้นล่ะ
โอ๊ย ถ้ามาหลังจากนั้น ตอนนี้ผมอาจจะเป็นเชฟอาหารทะเลไปแล้วก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็ไปเปิดร้านอาหารชื่อ เอ๊ะ ทะเลนึ่ง หรือไม่ก็ต้องกลับไปร้องเพลงที่ Route66 เหมือนเดิม สักวันละ 3-4 เพลง ได้สักห้าพันบาทก็กลับบ้านได้แล้วอะไรแบบนั้น
ถ้ามีอะไรสักอย่างที่อยาก ‘ปาใส่หน้า’ ใครสักคน
ผมอยากเอาโอกาสปาใส่ทุกคน เพราะผมว่าเรื่องนี้สำคัญ The Mask Singer ก็เหมือนโอกาสที่เวิร์คพอยท์ปามาใส่หน้าผม แต่ก่อนหน้านั้นผมอยากให้ทุกคนเตรียมตัวสำหรับโอกาสที่จะมาปาใส่ให้ดี ถ้าคุณเป็นนักร้องก็ต้องเตรียมเสียงตัวเองให้ดี ถ้าเป็นพริตตี้นอกจากหน้าตาก็ต้องฝึกสกิลการพูด ฝึกสกิลภาษาให้พร้อม ทำไมต้องยกตัวอย่างพริตตี้วะ (หัวเราะ) เพราะต่อให้โอกาสวิ่งมาใส่หน้า แต่ไม่พร้อม ชีวิตคุณก็หยุดอยู่แค่นั้น แล้วมันมีแค่ไม่กี่ครั้งหรอกนะที่จะมีคนเอาโอกาสมาปาใส่หน้าแบบจริงๆ
กับคนที่เขาเตรียมความพร้อมมาตลอด แต่ไม่มีคนเอาโอกาสมาปาใส่หน้าล่ะควรจะทำอย่างไรดี
พยายามทำต่อไปครับ ทำเหมือนเดิม อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณรออยู่ แต่ให้ทำในสิ่งที่รักต่อไป อย่างตอนที่ผมไปทำ เอ๊ะ ทะเลนึ่ง ก็เพราะชอบกินปู นี่คือสิ่งที่ผมชอบ ผมสามารถกินปูจนมือเลือดออกก็ยังไม่หยุดกิน เพราะฉะนั้นคุณต้องหาอะไรที่ชอบทำ แล้วกลับไปสู่จุดเดิมคือพยายามเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสต่อๆ ไป ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งโอกาสนั้นจะมาถึงเอง
- เพลง กลับมา ที่เอ๊ะร้องในฐานะหน้ากากอีกาดำ ได้รับรางวัลเพลงประกอบละครยอดนิยม จากมายาแชนแนล ซึ่งนี่คือรางวัลแรกที่เอ๊ะได้รับในฐานะขวัญใจมหาชน
- ถ้าไม่ได้เลียนเสียงใคร เวลาร้องเพลงเสียงของเอ๊ะจะเหมือน ศิต (ประกาศิต สากลวารี) นักร้องนำวง Motif อีกหนึ่งแคนดิเดตที่หลายคนเคยทายเอาไว้ว่าน่าจะเป็นหน้ากากอีกาดำ
- ตอนนี้เอ๊ะกำลังทำเพลงใหม่ร่วมกับ อุ๋ย Buddha Bless (นที เอกวิจิตร) และปิ๊ด มือเบสวง Bodyslam (ธนดล ช้างเสวก) เป็นเพลงที่ว่าด้วยเรื่องโอกาส ที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้
- ขณะที่เรียนมัธยม เอ๊ะเล่นกีฬาเป็นทุกอย่าง ทั้งปิงปอง, แบดมินตัน, ฟุตบอล, บาสเกตบอล, เปตอง, ตะกร้อ รวมถึงการเป็นนักเล่นหมากฮอส