×

‘เมืองไทยประกันชีวิต’ คาดเบี้ยรับใหม่ปีนี้โตกว่า 20%

29.01.2024
  • LOADING...
เมืองไทยประกันชีวิต

เมืองไทยประกันชีวิตคาดการณ์เบี้ยรับรายใหม่ปีนี้โตกว่า 20% เปิดกลยุทธ์ปีนี้เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมตอบสนอง Personal Life พร้อมบุกช่องทางออนไลน์เพิ่มตามเทรนด์ผู้บริโภค 

 

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ปีนี้เบี้ยรับประกันใหม่จะเติบโตมากกว่า 20% จากปี 2566 ที่มีเบี้ยรับประกันใหม่อยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจากปี 2565 ที่มีเบี้ยรับประกันใหม่อยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท

 

โดยเทรนด์ความต้องการผู้ซื้อประกันพุ่งไปสู่ประกันสุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างสังคมที่ผู้คนมี Awareness ด้านความมั่นคงทางสุขภาพมากขึ้น 

 

ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป เมืองไทยประกันชีวิตจะมุ่งให้บริการประกันชีวิต ประกันสุขภาพและโรคร้ายเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของเบี้ยรับรวม จากเดิมที่อยู่ที่ 60% ส่วนประกันเกษียณจะอยู่ในสัดส่วน 30% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 40% 

 

“เราจะใช้เรื่องโพรเทคชั่นเป็นตัวนำ ทั้งผ่านช่องทางตัวแทนและธนาคาร โดยปีนี้เราจะให้น้ำหนักในการทำทุนชีวิตตั้งแต่หลักแสนไปสู่ระดับร้อยล้าน และมุ่งสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกเซ็กเมนต์ (Democratize Insurance) ทั้งช่วงอายุและฐานรายได้” สาระกล่าว

 

ในปี 2567 เมืองไทยประกันชีวิตยังคงสานต่อการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No.1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ประจำปี “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ เพื่อความสุขและรอยยิ้มของพนักงานภายใน พาร์ตเนอร์ ลูกค้า และสังคมอย่างยั่งยืน 

 

โดยบริษัทจะดำเนินงานผ่าน 2 แนวคิดหลัก ได้แก่

 

  1. Personal เน้นการสร้างสรรค์พัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความเป็นคุณอย่างแท้จริง อาทิ ความร่วมมือในการขายประกันชีวิตและสุขภาพผ่านความร่วมมือกับ LINE BK หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ของบริษัทที่ให้บริการลูกค้าอย่าง MTL Online Sale Website (https://online.muangthai.co.th/th?cateCode=CA001), แอปพลิเคชัน MTL Click รวมถึงแอปพลิเคชันใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง MTL Connect ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทในการดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 พบว่า LINE BK เป็นช่องทางที่มียอดขายประกันสุขภาพดีมาก โดยกว่า 60% เป็นลูกค้าอายุต่ำกว่า 35 ปี และแผนต่อไปคือจะขยายเพิ่มปรับกระบวนให้ดีขึ้น และขยายการเติบโตเพิ่มขึ้น รุกตลาด Gen Z มากขึ้น อีกทั้งเห็นแนวโน้ม Online Sale เพิ่มขึ้น แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้มีอัตราส่วนมากนัก

 

  1. Life มุ่งสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตของผู้คนทุกกลุ่ม โดยจะเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์อย่างรอบด้าน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพเพื่อส่งมอบความคุ้มครองให้กับคุณและคนรอบข้าง ส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย การรักษาอย่างครอบคลุมและตรงจุด และสิทธิประโยชน์สำหรับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ 

 

นอกจากนี้ บริษัทยังนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วย ทั้ง AI, Machine Learning, Automation และ Digital Tools อื่นๆ ในทุกกระบวนการ ทั้งการขาย การพิจารณารับประกัน การพิจารณาสินไหม ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อตอบโจทย์ร่วมกับพาร์ตเนอร์ทางการขายและเจ้าหน้าที่บริการ ซึ่งทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานภายใน พาร์ตเนอร์ ลูกค้า และบุคคลต่างๆ ในสังคม

 

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 เมืองไทยประกันชีวิตมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ในกลุ่มสินค้าหลัก เช่น เบี้ยประกันภัยโรคร้ายแรงเติบโต 70% และเบี้ยประกันภัยบำนาญเติบโต 13% ขณะที่ด้านธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2566 สูงกว่า 300% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140%  

 

ด้านความแข็งแกร่งและเสถียรภาพทางด้านการเงิน บริษัทได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ 

 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลและภายในประเทศจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA(tha) ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินระดับประเทศที่สูงที่สุด พร้อมรับรางวัลการันตี ทั้งในด้านองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการ ในระดับประเทศและระดับสากล สะท้อนถึงการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและความสำเร็จในการดำเนินงานของบริษัทอย่างยั่งยืน

 

รับมาตรฐานบัญชีใหม่ ‘เพิ่มความเสี่ยง’

 

สาระกล่าวว่า ปัจจัยที่บริษัทระมัดระวังคือการปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานบัญชีใหม่  ซึ่งมาตรวัดคือการคิดผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (New Business Value: NBV) เพื่อจะสอดคล้องไปกับมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 17 ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ปี 2568 ซึ่งจะใช้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี โดยจะส่งผลให้บริษัทประกันจะต้องบันทึกขาดทุนในงบทันที หากว่าขายแบบประกันตลอดอายุสัญญาแล้วมีมูลค่าติดลบ

 

“ก่อนหน้านี้อาจจะเห็นภาคธุรกิจมีเบี้ยลดลง คนจะเข้าใจว่ามาจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วมาจากโครงสร้างแบบประกันที่เปลี่ยนไปจากขายประกันสะสมทรัพย์ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องตรึงผลตอบแทนระยะยาวกับพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นไป แต่ช่วงหลังมานี้จะเห็นเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่ปรับตัวลงตลอดเวลา ดังนั้นหากยีลด์ต่ำมากและไม่สามารถแมตชิ่งกับการลงทุนได้ดีพอ การทำธุรกิจก็จะไม่ยั่งยืน”

 

เฟ้นลงทุนในธุรกิจ ESG มากขึ้น

 

สำหรับมิติ ESG เมืองไทยประกันชีวิตได้ลงทุนและเปิดโอกาสให้ลูกค้า Unit Linked สามารถลงทุนในสินทรัพย์สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) ตราสาร ESG (ESG Bond) และตราสารส่งเสริมความยั่งยืน

 

ขณะเดียวกันในส่วนของพอร์ตการลงทุนของบริษัทก็จะเน้นลงทุนใน Green Bond และ ESG Transformation (บริษัทที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว) มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังลงทุนไม่มากนัก

 

นอกจากนี้ยังยึดมั่นการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG) เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

 

ยังจับตาภาพรวมเศรษฐกิจ

 

ธนัญชัย สัจจะปรเมษฐ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงิน บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กล่าวว่า ประเมินภาพเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังคงฟื้นตัว ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้จะขยายตัว 3.2% หากรวมผลของโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะขยายตัวได้ 3.8% ซึ่งบริษัทคาดว่าน่าจะไม่ทันช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งอาจจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจไทยโตแบบไม่เท่าเทียมกัน กลุ่มธุรกิจ SMEs จะค่อนข้างเหนื่อย

 

ส่วนการบริโภคจะขึ้นอยู่กับการกระตุ้นของรัฐบาล ด้านการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคส่งออกยังมีความท้าทายอยู่ ดังนั้นด้วยบริบทการโตแบบไม่เท่าเทียมจะสะท้อนไปสู่กำลังซื้อของคนไม่เท่ากัน ซึ่งบริษัทมีการเตรียมความพร้อมเรื่องเหล่านี้ในทุกด้านและทุกแบบประกันที่จะตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ไว้แล้ว

 

ขณะที่แผนการลงทุนยอมรับว่าปีนี้จะเป็นปีที่มีความระมัดระวัง เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และมีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ขณะที่ประเมินดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) น่าจะทยอยลดลงช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่า กนง. น่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 2.5% หรือมีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้ 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังปีนี้

 

ซึ่งจะสะท้อนไปสู่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) โดยตอนนี้มองบอนด์ยีลด์จะไซด์เวย์ อยู่ในระดับไม่สูงเท่าปีที่แล้ว แต่ไม่ต่ำมากเมื่อเทียบกับ 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีกับการลงทุนของบริษัทประกันชีวิต เพราะยีลด์ที่จะไปลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ในปีนี้น่าจะค่อนข้างคงที่

 

แต่ที่ต้องระวังคือการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่ ก็หวังว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้จากภาคท่องเที่ยวและการลงทุนของภาคเอกชนที่ดีขึ้น แต่ปีที่แล้วบริษัทได้ประโยชน์จากการกระจายไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวดี

 

สำหรับปี 2567 พยายามรักษาผลตอบแทนจากการลงทุนที่ระดับใกล้เคียง 3.5-4% ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนผ่านตราสารหนี้เป็นหลัก อาจจะลงทุนเพิ่มในกรีนบอนด์และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (ESG Bond) ซึ่งปัจจุบันลงทุนไปแล้วด้วยเม็ดเงินหลักพันล้านบาท

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising