วันนี้ (1 กุมภาพันธ์) พรรคก้าวไกลนำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ และพรรคเพื่อไทยนำโดย ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. บัญชีรายชื่อ แถลงข่าวยื่นร่าง พ.ร.บ.ประชามติฯ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเป็นผู้รับเอกสาร
พริษฐ์กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลยื่นร่าง พ.ร.บ.ประชามติฯ ฉบับของพรรคก้าวไกลเข้าสู่สภา ร่วมกับพรรคเพื่อไทยซึ่งมีร่าง พ.ร.บ.ประชามติฯ ฉบับของพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
เวลาพูดถึงการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติฯ หลายคนอาจมองไปถึงความเชื่อมโยงกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ความจริงแล้วการเสนอปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติฯ ครั้งนี้เป็นการปรับปรุงกติกาเรื่องการออกเสียงประชามติให้ ‘เป็นธรรม’ ‘มีประสิทธิภาพ’ และ ‘ทันสมัย’ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการจัดประชามติเกี่ยวกับหัวข้ออื่นๆ ในอนาคต
ก้าวไกลแก้กฎหมายประชามติประเด็นใดบ้าง
พริษฐ์กล่าวว่า ประเด็นที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีการแก้ไขใน พ.ร.บ.ประชามติฯ มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
ประเด็นแรกคือทำให้กฎหมายประชามติ ‘เป็นธรรม’ ขึ้น ผ่านการแก้ไขกติกา ‘เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น’ (Double Majority) เป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 1 ชั้น เนื่องจากปัจจุบันประชามติจะได้ข้อยุติทางใดทางหนึ่งต่อเมื่อผ่าน 2 เกณฑ์ คือชั้นที่ 1 ผู้ที่ลงคะแนนเสียงทางใดทางหนึ่งมีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียง และชั้นที่ 2 ผู้ที่ออกมาใช้สิทธิออกเสียงมีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง
ปัญหาคือแม้การวางเกณฑ์ชั้นที่ 2 เรื่องสัดส่วนการออกมาใช้สิทธิมีเจตนาที่ต้องการจะให้ประชามติมีผลต่อเมื่อคนให้ความสนใจกับประเด็นดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ แต่การวางเกณฑ์ดังกล่าวอาจเปิดช่องให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ประชามติผ่านเลือกใช้วิธีนอนอยู่บ้านและไม่ออกมาใช้สิทธิ เพื่อหวังคว่ำประชามติโดยการกดสัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิลง แม้ฝ่ายตนเองจะมีจำนวนน้อยกว่าฝ่ายที่ต้องการให้ประชามติผ่านก็ตาม
ทั้งหมดนี้อาจทำให้กติกาถูกมองว่าไม่เป็นธรรม เพราะไม่ว่าหัวข้อประชามติจะเป็นเรื่องอะไร ฝ่ายที่อยากคว่ำประชามติทำได้ด้วยยุทธศาสตร์นอนอยู่บ้าน แม้ฝ่ายที่ไม่อยากให้ประชามติผ่านมีน้อยกว่าฝ่ายที่อยากให้ประชามติผ่าน ดังนั้นข้อเสนอคือเปลี่ยนเป็นเกณฑ์เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 1 ชั้น กล่าวคือประชามติจะผ่านหากผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้ผ่านมีมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ
ประเด็นที่สองที่พรรคก้าวไกลเสนอให้แก้ไขใน พ.ร.บ.ประชามติฯ คือการทำให้กฎหมายประชามติ ‘มีประสิทธิภาพ’ มากขึ้น โดยการปลดล็อกเรื่องการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและประหยัดงบประมาณ
เมื่อปลายปี 2565 พรรคก้าวไกลเคยเสนอให้จัดประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. ในเดือนพฤษภาคม 2566 แต่ สว. และ กกต. เคยแสดงความกังวลโดยให้เหตุผลว่าข้อเสนอดังกล่าวมีอุปสรรคหลายอย่างทางกฎหมายในเชิงภาคปฏิบัติ
ข้อเสนอของเราคือการปรับกฎหมายเพื่อให้ในมุมหนึ่ง กกต. จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง เช่น กรอบเวลาในการกำหนดวันออกเสียง เขตออกเสียง หน่วยและที่ออกเสียง และผู้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ในอีกมุมหนึ่งเราจะปิดช่องและป้องกันไม่ให้ ครม. หรือ กกต. ใช้เรื่องการจัดประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้งมาเป็นเหตุผลในการถ่วงเวลาเรื่องการทำประชามติออกไปนานเกินควร
และประเด็นที่สามที่พรรคก้าวไกลเสนอให้แก้ไขใน พ.ร.บ.ประชามติฯ คือทำให้กฎหมายประชามติ ‘ทันสมัย’ มากขึ้น โดยการรับประกันสิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อเสนอประชามติผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากแม้ปัจจุบันประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอให้จัดประชามติ แต่การเข้าชื่อจะต้องทำผ่านเอกสารที่พิมพ์ออกมา (Print) ออกมาเท่านั้น อย่างที่เราเห็นในแคมเปญ ConForAll เมื่อเดือนสิงหาคม 2566
ข้อเสนอของก้าวไกลคือปรับให้ พ.ร.บ.ประชามติฯ รับรองให้ประชาชนเข้าชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เหมือนกับที่ พ.ร.บ.เข้าชื่อเสนอกฎหมายรับรองให้ประชาชนเข้าชื่อเพื่อยื่นร่างแก้ไขกฎหมายหรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านช่องทางออนไลน์ได้
ก้าวไกล-เพื่อไทย มองประเด็นแก้กฎหมายประชามติสอดคล้องกัน
พริษฐ์กล่าวว่า 2 ใน 3 ประเด็นของพรรคก้าวไกลน่าจะสอดคล้องกับประเด็นของพรรคเพื่อไทย ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้เพิ่มช่องทางในการออกเสียงผ่านไปรษณีย์หรือทางเทคโนโลยี และที่เสนอให้ กกต. ต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยรณรงค์ได้อย่างทัดเทียมกัน ทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับหลักการอยู่แล้ว โดยจะขอรอดูรายละเอียดว่าข้อเสนอของเพื่อไทยจะรับประกันใน 2 ประเด็นดังกล่าวมากกว่าที่มีอยู่แล้วใน พ.ร.บ.ประชามติฯ ปัจจุบันอย่างไร
“วันนี้ดีใจที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมายืนแถลงร่วมกันในการเสนอร่างกฎหมายที่เราเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ตนหวังว่าวันนี้จะเป็นตัวอย่างและนิมิตหมายที่ดีว่าแม้เราจะนั่งอยู่กันคนละฝั่งในสภาในฐานะรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่อะไรที่เราเห็นตรงกันเราก็พร้อมจะร่วมมือกันผลักดัน อะไรที่เราเห็นต่างกันเราก็พร้อมจะแข่งกันเต็มที่ ซึ่งแนวทางในการร่วมมือและแข่งขันกันแบบนี้จะเป็นแนวทางที่ทำให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชน” พริษฐ์กล่าว