แน่นอนว่าแฟชั่นทุกวันนี้หมุนเร็วมาก แต่ละแบรนด์ต่างงัดไม้เด็ดออกมาเอาใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเปรี้ยวซ่าไม่แคร์สื่อ เน้นความโดดเด่นและสิ่งที่สะดุดตาเป็นหลัก ซึ่งไอเท็มหลายๆ ชิ้นก็เรียกเสียงฮือฮาได้ตามความต้องการจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องแปลกตา ไม่ต้องเรืองแสง ไม่ต้องพยายาม (ยกเว้นพยายามหาเงินเพื่อไปซื้อ) ก็ยังโดดเด่นและน่าสนใจตลอดกาล เป็นไอเท็มที่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนของนักสะสมแฟชั่นไอเท็ม
THE STANDARD ขอยก 10 ไอเท็มที่อยู่ยั้งยืนยงมาหลายสิบปี เป็นไอเท็มที่ทำซ้ำออกมาเมื่อไรก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนต้องสั่งจองกันเป็นเดือนๆ พร้อมดีไซน์ที่ไม่หวือหวา แต่คงไว้ด้วยคุณภาพกับเรื่องราวที่น่าจดจำตลอดมา
The Chanel Tweed Suit
ทุกครั้งที่เห็นผ้าทวีด สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือความคลาสสิกจากแบรนด์เก่าแก่อย่าง Chanel ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของไอเท็มนี้ในปี 1923 โคโค่ ชาแนล ชวนเหล่านักข่าวมาชมคอลเล็กชันใหม่ห้องเสื้อของตน และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือ Chanel Suite น่าเสียดายที่ยังไม่เข้าตาสื่อนัก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เธอนำมันกลับมาอีกครั้ง โดยได้แรงบันดาลใจจากสูทของผู้ชาย ด้วยความเชื่อว่าชุดสูทนั้นสวมสบายกว่าเดรสรัดรูป นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในยุค 50 ซึ่งยังคงความคลาสสิกมาจนถึงยุคนี้
Chanel 2.55
ในปี 1929 โคโค่ ชาแนล ตัดสินใจดีไซน์กระเป๋าใบแรก โดยมีรูปแบบเป็นกระเป๋าคลัตช์ซึ่งเป็นที่นิยมของชนชั้นสูงในยุคนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร แต่แล้วในปี 1955 โคโค่ ชาแนล ก็สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการกระเป๋าถืออีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Chanel 2.55 (เดือน 2 ปี 1955) ซึ่งมีการปรับแต่งเพิ่มเติมให้มีสายสะพายไหล่เป็นโซ่ เธอบอกว่าฉันเบื่อการถือกระเป๋าไว้ในมือ และก็เบื่อกับการทำมันหาย ฉันเลยคิดที่จะเพิ่มสายขึ้นมาและสะพายมันไว้บนไหล่ฉันเลย ในปีแรกที่ Chanel 2.55 ออกวางจำหน่ายก็ดังระเบิดจน โคโค่ ชาแนล ต้องสั่งผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม และนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ชนชั้นสูงสะพายกระเป๋าถือเข้าที่ไหล่ตัวเอง และคุณรู้หรือไม่ว่ากระเป๋ารุ่นนี้มีความลับซ่อนอยู่นั้น คือช่องใต้ฝาปิดกระเป๋าที่เธอเอาไว้ซ่อนจดหมายรักลับๆ ของเธอ
Lady Dior
ของขวัญชิ้นสำคัญที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศสมอบให้เจ้าหญิงไดอานา ในปี 1995 คือกระเป๋าหนังสีดำเย็บมือสั่งทำพิเศษจากดีไซเนอร์ชื่อคุ้นหู จอห์น กัลลิอาโน ที่บรรจงรังสรรค์ลาย ‘คานนาจ’ เรขาคณิตที่ดูหรูหราพร้อมกับโลโก้ตัวอักษรอะไหล่สีทองที่ห้อยติดมาพร้อมคู่กระเป๋าตอกย้ำความเป็น Dior โดยใช้ช่างฝีมือ 7 คน จากนั้นไม่นานแบรนด์ Christian Dior จึงตั้งชื่อกระเป๋ารุ่นนี้ว่า ‘Lady Dior’ เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าหญิงไดอานา ทำให้ในระยะเวลาเพียง 2 ปี กระเป๋ารุ่นนี้ทำยอดขายไปกว่า 200,000 ใบ และต่อมาก็ถูกพัฒนาด้วยการใช้แมตทีเรียลอื่นๆ แทนหนังตามเทรนด์แฟชั่น แต่ยังคงความคลาสสิกไว้ด้วยรูปทรง
Christian Louboutin High Heels
คุณอาจจะไม่เชื่อว่าแบรนด์รองเท้าส้นสูงพื้นแดงที่ผู้หญิงใฝ่ฝันอยากได้ และต้องอดทนใส่ถึงแม้จะเจ็บปวดก็ยอม จะมีเรื่องราวของจุดเริ่มต้นที่แสนจะง่ายดายเพียงแค่ คริสเตียน ลูบูแตง ที่จมปลักอยู่กับความน่าเบื่อ และพยายามหาทางออกให้รองเท้าที่ดูซ้ำซากกับแบรนด์อื่นๆ แต่ในความน่าเบื่อนั้นเขาบังเอิญเห็นผู้ช่วยกับเล็บสีแดงสด จึงหยิบเอายาทาเล็บของเธอไปทาที่พื้นรองเท้า จากนั้นก็กลายเป็นตำนานรองเท้าสุดคลาสสิกให้ผู้หญิงต้องฝันถึง แต่อย่างที่รู้กัน รองเท้าดังได้เพราะมีอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าหญิงแห่งโมนาโก นี่แหละ ที่เป็นทั้งลูกค้าตัวจริงของแบรนด์ที่ซื้อไปสวมใส่ และทำให้รองเท้าส้นสูงพื้นแดงนี้โด่งดังจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่เหล่าเซเลบริตี้มากมายก็ยอมแลกมากับความสวยสง่างามบนรองเท้าพื้นแดงคู่นี้
The Birkin Bag
นับกว่า 30 ปีที่ เจน เบอร์กิ้นส์ จากแบรนด์ยิ่งใหญ่อย่าง Hermes ครีเอตกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมคางหมูสุดคลาสสิกออกมาให้ผู้คนทั่วโลกต่างจับจอง โดยกระเป๋าเบอร์กิ้นส์ที่คนอยากได้เริ่มมาจากบทสนทนาในปี 80s ของเจน ที่บ่นกับ Jean-Louis Dumas โดยที่เธอไม่รู้ว่าเป็นซีอีโอแบรนด์ Hermes ว่า เธอไม่เคยได้ใช้กระเป๋าอะไรที่ถูกใจเลยในช่วงวีกเอนด์ จากนั้นก็เริ่มอธิบายว่ากระเป๋าที่อยากได้ควรเป็นเช่นไร ต่อมาไม่นาน เจนก็ได้รับกระเป๋าที่เธอพูดถึง และกลายเป็นที่มาของกระเป๋าที่นักช้อปหลายๆ คนเฝ้าฝัน
Burberry Trench Coat
กว่า 140 ปีที่เทรนช์โค้ตเกิดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องแบบทหารของอังกฤษ และเมื่อปี 1912 โธมัส เบอร์เบอรี จดสิทธิบัตรผ้ากาบาร์ดีน (Gabardine) ที่เขาคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1879 และนำมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิตเทรนช์โค้ต ซิกเนอเจอร์ของแบรนด์ อีกทั้งยังมีความพิถีพิถันในเรื่องการตรวจสอบ ทั้งการเย็บ การทอผ้า รวมไปถึงสีของผ้ากาบาร์ดีนเพื่อความสมบูรณ์แบบ โดยไอเท็มนี้เริ่มมีชื่อเสียงและทำรายได้ในตลาดอุตสาหกรรมแฟชั่นปีนั้น เทรนช์โค้ตสีน้ำตาลอ่อนพร้อมผ้าซับในลายสกอตซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ Burberry นั้นมีคุณสมบัติโดดเด่นในการกันน้ำและคงทนแข็งแรง ไม่ซีดจางและไม่หดตัว เป็นไอเท็มที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือปลายฝนต้นหนาว
Cartier Love Bracelet
ในปี 1847 ร้านเพชรเล็กๆ Cartier ในกรุงปารีส ที่ก่อตั้งโดย หลุยส์-ฟรองซัวส์ คาร์เทียร์ มีเครื่องประดับหรูหรามากมายเกิดขึ้นจากฝีมือของนักออกแบบชื่อ ‘ชาร์ลส์ ฌาค’ ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังให้กับร้านเพชรเล็กๆ ร้านนี้ ต่อมาในปี 1960 แบรนด์ Cartier ได้ปล่อยคลาสสิกไอเท็มที่เป็นกำไลข้อมือทอง 18K มีกิมมิกการใส่และถอดด้วยตัวไขควงเฉพาะจากทางแบรนด์ อีกทั้งคุณภาพของสีโลหะจะไม่มีการเปลี่ยนสี และกำไลข้อมือของ Cartier รุ่น Love Collection ยังสร้างยอดการค้นหาใน Google มากที่สุดในปี 2016
The Ray-Ban Aviator
สงครามและการทหารก่อให้เกิดแว่นตาที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เริ่มจากอดีตทหารอากาศ John Macready ที่กลับมาประจำการเพื่อทดสอบการบินบอลลูนได้ติดต่อบริษัท Bausch & Lomb ให้ช่วยออกแบบแว่นกันแดดที่สามารถลดแสงสีฟ้าและความจ้าของแสงดวงอาทิตย์ให้กับนักบิน เพราะปกติแว่นที่ใช้จะมีขนาดใหญ่เทอะทะไม่คล่องตัว และสุดท้าย Aviator ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีรูปของ Douglas MacArthur ทหารอเมริกันสุดเท่ คาบไปป์ และสวมแว่นกันแดดนี้ จนทำให้ในปี 1937 Bausch & Lomb ออกแว่นตา Ray-Ban รุ่น Aviator และได้พัฒนาต่อให้กันแดดและกันฝุ่นได้ เพราะแว่น Ray-Ban ทรงนี้จะถูกส่งไปให้ทหารที่กำลังรบในสงครามโลกครั้งที่ 2
Converse All Stars
รองเท้า All Star เวอร์ชันแรกถูกผลิตขึ้นในปี 1917 ซึ่งไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก จนกระทั่ง Charles ‘Chuck’ H. Taylor นักบาสเกตบอลที่ชื่นชอบ Converse All Star ทำให้รองเท้ารุ่นนี้กลายเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในวงการบาสเกตบอล ในปี 1932 บริษัท Converse Rubber Shoe ได้มอบรองเท้าคู่พิเศษเพื่อเป็นเกียรติให้กับ Charles ‘Chuck’ H. Taylor และเพิ่มรุ่นพิเศษที่มีลายเซ็นของ Chuck ซึ่งรองเท้าหุ้มข้อของ Converse All Star ก็เป็นรุ่นที่ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันในฐานะรองเท้าราคาสบายๆ คลาสสิก ใส่เข้าได้กับทุกลุค
The Levi’s 501
เรียกว่าเป็นตำนานของวงการเดนิมเลยก็ว่าได้ สำหรับแบรนด์ Levi’s ที่โลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นมากว่า 129 ปี โดยรุ่นที่เรารู้จักและได้ยินติดหูมากที่สุดนั้นคือ 501 ในปี 1890 เป็นปีแรกที่มีกางเกงยีนส์ทรงกระบอกชื่อรุ่น 501 เกิดขึ้น ยุคนั้นตัวเลข 5 จะเป็นรหัสของสินค้า Levi’s รุ่นที่ผลิตจากวัสดุที่ดีที่สุด โดยในปีถัดๆ มารุ่น 501 ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของการเพิ่มรูร้อยเข็มขัด การปรับกระชับ การเย็บป้ายเรดแท็บ หรือแม้แต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ตัดการตกแต่งที่ไม่จำเป็นออกเพื่อลดปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ตลอดจนปัจจุบัน Levi’s เองก็ยังไม่หยุดพัฒนาเพื่อให้เข้ากับยุคและสมัย พร้อมออกรุ่นใหม่ๆ มาสำหรับเทรนด์ปัจจุบัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า