×

อธิบดีกรมควบคุมโรคเผย เดือน ส.ค. ไทยได้วัคซีนจาก AstraZeneca 5 ล้านโดส แต่เดือน ก.ย. อาจได้เพิ่มเป็น 7.2 ล้านโดส เตรียมซื้อ Pfizer และ AstraZeneca ในปี 2565 ยี่ห้อละ 50 ล้านโดส

โดย THE STANDARD TEAM
21.08.2021
  • LOADING...
Opas Karnkawinpong

วันนี้ (21 สิงหาคม) ในการแถลงสถานการณ์โควิดและการติดตามการฉีดวัคซีน ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงสิงหาคม จำนวนวัคซีนที่เข้ามามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับยอดการฉีดและความต้องการฉีด 

 

“ยกตัวอย่าง AstraZeneca ที่มีหลายท่านสอบถามเข้ามา พบว่า ระยะหลังหลังจากที่มีการนำเข้ามา การฉีดวัคซีนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสัญญาที่เราลงนามจองกับ AstraZeneca ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ขณะนั้นยังไม่มีวัคซีนที่ผลิตสำเร็จแม้แต่ขวดเดียว เพราะฉะนั้นในเงื่อนไขสัญญาเราระบุว่า การส่งมอบก็จะต้องมีการเจรจาเป็นรายเดือน ซึ่งตามสัญญาที่กำหนดก็จะกำหนดว่าจะเริ่มส่งเราภายในเดือนมิถุนายน จากนั้นจะมีการเจรจาในแต่ละเดือน เพื่อให้ส่งมอบตามที่เราต้องการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณวัคซีนที่ทางบริษัท AstraZeneca จะมีให้ได้ด้วย

 

“ยกตัวอย่างเดือนมิถุนายนที่เราเริ่มต้นการฉีด ก็จะมีวัคซีนที่เข้ามาประมาณ 5 ล้านโดส เดือนกรกฎาคมประมาณ 5 ล้านโดส เดือนสิงหาคม 5 ล้านโดส เพราะฉะนั้นโดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน

 

“สำหรับเดือนกันยายนเป็นต้นไป ทางกระทรวงสาธารณสุขในสัญญาก็จะมีการเจรจากับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) เป็นระยะ และเราก็แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนว่าเราอยากจะได้วัคซีนเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการฉีดของพี่น้องประชาชนคนไทยมีมาก ทางบริษัทก็ได้มีการตอบสนอง อย่างเช่น เดือนกันยายนมีการส่งสัญญาณว่าจะมีการส่งวัคซีนให้กับประเทศไทย 7.2 ล้านโดส และผมก็เชื่อว่าในการเจรจาเราจะมีวัคซีนที่เข้ามาเรื่อยๆ ตามที่เราต้องการมากขึ้น ซึ่งก็จะสอดคล้องกับการฉีดของเรา”

 

นพ.โอภาส กล่าวว่า หลังจาก ศบค. และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กำหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้มีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเข้ามามากขึ้น โดยเดือนมิถุนายนจัดหาได้ประมาณ 6 ล้านโดส เดือนกรกฎาคม 10 ล้านโดส เดือนสิงหาคม 10 ล้านโดส ซึ่งจะเห็นว่าเราสามารถจัดหาวัคซีนชนิดต่างๆ มาฉีดได้สอดคล้องกับแผนที่ต้องการ 

 

สำหรับปี 2565 เมื่อดูแนวโน้มการฉีดวัคซีนจะพบว่า การฉีดวัคซีนอาจจำเป็นจะต้องใช้เข็มที่ 3 หรือ Booster Dose รวมถึงกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่อาจจะไม่ครอบคลุมในการฉีดวัคซีน เช่น กลุ่มเด็ก ซึ่งขณะนี้มีการวิจัยในหลายๆ หน่วยงาน หลายบริษัท หลายประเทศ ถึงความจำเป็นในการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็ก รวมทั้งการฉีดเข็มที่ 3 เนื่องจากขณะนี้ข้อมูลหลายแห่งพบว่า หลังจากที่ฉีดวัคซีนไป 2 เข็ม ไม่ว่ายี่ห้ออะไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันก็จะตกลง เพราะฉะนั้นการฉีด Booster Dose หรือเข็มที่ 3 จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ปี 2565 เราจำเป็นจะต้องหาวัคซีนเพิ่มเติมมาเพื่อฉีดใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเด็กที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และเตรียมไว้สำหรับ Booster Dose 

 

“เพราะฉะนั้นคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติก็ได้เสนอความเห็นและผ่านความเห็นชอบของ ศบค. แล้วว่า ในปี 2565 จะต้องมีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้กับคนไทยอย่างน้อย 120 ล้านโดส รวมถึงให้มีวัคซีนที่มีความหลากหลายในการฉีด เช่น mRNA, Viral Vector หรือเชื้อตาย และอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้แสดงเจตจำนงและมีการประชุมหารือกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนในหลายบริษัท ก็ได้มีการแสดงเจตจำนงว่าจะมีการนำเข้าวัคซีนของบริษัท Pfizer อย่างน้อย 50 ล้านโดส และ AstraZeneca อีก 50 ล้านโดส แต่ในรายละเอียดว่าจะเป็นวัคซีนแบบไหน ซึ่งขณะนี้หลายบริษัทเริ่มมีการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์ได้มากขึ้น ที่เรียกว่าวัคซีนรุ่นที่ 2 ฉะนั้นถ้าบริษัทสามารถผลิตวัคซีนมีผลวิจัยที่ยืนยันว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัย เราก็จะขอให้ทางบริษัทส่งมอบวัคซีนรุ่นที่ 2 ให้กับประเทศไทย สำหรับปริมาณที่แน่นอน กำหนดการส่ง รวมถึงราคา ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา ซึ่งการเจรจาที่ผ่านมามีความก้าวหน้าด้วยดี”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X